ธุรกิจก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เติบโตตามทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งกลายเป็นอีกโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย
แต่การออกไปบุกตลาดต่างแดนให้สำเร็จ ก็ต้องอาศัยความพร้อมทั้งด้านการเงิน และข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับตลาดเป้าหมาย เพื่อจะได้ตอบโจทย์ความต้องการให้ถูกต้อง
จักรพร อุ่นจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันการก่อสร้างแห่งประเทศไทย มองว่า การออกไปทำธุรกิจก่อสร้างในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ ดังนั้นบริษัทส่วนใหญ่ที่ออกไปจึงเป็นรายใหญ่ ขณะที่รายเล็กยังมีน้อยมาก
ทั้งนี้ แต่ละประเทศมีโอกาสลงทุนแตกต่าง กันไป โดยประเทศเพื่อนบ้านรอบประเทศไทยจะเน้นการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน โครง สร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟ ซึ่งจะเป็นโอกาสของบริษัทขนาดใหญ่ แต่ผู้รับเหมารายกลางหรือรายเล็กที่ทำงานร่วมกับรายใหญ่อยู่แล้ว ก็มีโอกาสจับมือกันออกไปทำงานในต่างประเทศด้วยกัน
ส่วนผู้ประกอบการที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่พักอาศัย เหมาะจะเข้าไปลงทุนในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย เพราะเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก มีความต้องการที่พักอาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีระบบธนาคารที่เป็นสากล ซึ่งจะเอื้อกับธุรกิจที่พักอาศัย ที่จะต้องพึ่งพาระบบเงินผ่อนเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ตลาดอาเซียนยังเป็นโอกาสของผู้ประกอบการกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่ปัจจุบันมีทั้งออกไปลงทุนตั้งโรงงานผลิต และส่งสินค้าเข้าไปจำหน่าย ซึ่งสินค้าไทยได้รับการยอมรับจากลูกค้าว่ามีคุณภาพดี ซึ่งปัจจุบันมีคู่แข่งสำคัญคือจีนที่ส่งสินค้ามาเจาะตลาดอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
จักรพร แนะนำว่า หากผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กอยากออกไปลงทุนในอาเซียน จะต้องพยายามหาพันธมิตรท้องถิ่น หรืออาจออกไปขยายธุรกิจเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ควรทำแบบเต็มตัวเหมือนในเมืองไทย เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นเอสเอ็มอีออกไปจับมือกับผู้รับเหมาในพื้นที่ โดยอาจดูแลเฉพาะเรื่องการออกแบบ ส่วนการก่อสร้างอาจให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นดำเนินการ เป็นต้น
“ธุรกิจก่อสร้างมีรายละเอียดมาก ผู้ประกอบการต้องทำการบ้านมากๆ ก่อนจะออกไปต่างประเทศ เพราะไม่ใช่แค่ก่อสร้างเก่ง ออกแบบเก่ง แล้วจะอยู่รอด แต่ต้องเข้าใจเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ การใช้แรงงานในต่างประเทศ เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างไม่มีปัญหา”
สำหรับภาพรวมของตลาดธุรกิจก่อสร้างในอาเซียนในช่วงที่ผ่านมานั้น จักรพร อธิบายว่า ในปี 2556 ตลาดก่อสร้างในประเทศอาเซียนเกือบทุกรายมีการขยายตัวสูงกว่าประเทศไทย โดยเฉพาะ
พม่า กัมพูชา เวียดนาม ที่กำลังพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจเติบโต มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและที่พักอาศัยเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดธุรกิจก่อสร้างในฟิลิปปินส์มีการขยายตัวมาก จากเดิมที่การก่อสร้างติดลบ ซึ่งการเติบโตของตลาดมีผลจากประชาชน มีรายได้เพิ่มขึ้น และตอนนี้มีผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในฟิลิปปินส์แล้ว ขณะที่สิงคโปร์ ธุรกิจก่อสร้างขยายตัวน้อย เนื่องจากมีพื้นที่ในการก่อสร้างน้อยลง การก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างตึกอาคารใหม่ เพื่อทดแทนของเก่า
อย่างไรก็ตาม จักรพร เชื่อว่า การเปิดเสรีอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบในปลายปีนี้จะกลายเป็นโอกาสดีให้ผู้ประกอบการไทยออกไปขยายธุรกิจในประเทศกลุ่มอาเซียน และมั่นใจว่าผู้ประกอบการไทยมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะออกไปแข่งขัน ในต่างประเทศได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้โอกาสได้ดีกว่ากัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์