บ้านประชารัฐแปลงร่าง จากบ้านคนจนเป็นบ้านผู้มีรายได้ปานกลาง ขุนคลังอัพราคา เป็น 1.5 ล้านตามข้อเสนอดีเวลอปเปอร์ ชูโมเดล “ไพรซ์ มิกซ์” ขายหลายราคา ตั้งแต่ 5 แสน-1.5 ล้านเพื่อเฉลี่ยต้นทุนพัฒนาโครงการ “สมคิด” เอาด้วย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนารักษ์เคลียร์ที่ราชพัสดุ 6 แปลง แบะท่าเอกชนไม่สนใจเช่าพร้อมลงทุนเอง อสังหาฯต่างจังหวัดสนใจร่วมลงทุน
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลคืบหน้านโยบายสร้างบ้านผู้มีรายได้น้อยหรือโครงการบ้านประชารัฐ ขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน เห็นควรให้ขยายเพดานราคาบ้านเป็นยูนิตละไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จากเดิมกำหนดว่า หากสร้างบนที่ราชพัสดุ คอนโดมิเนียม ไม่เกินยูนิตละ 5 แสนบาท ทาวน์เฮาส์ ไม่เกิน 7 แสนบาท กับกรณีสร้างบนที่ดินเอกชน คอนโดฯราคา 7 แสน ทาวน์เฮาส์ ไม่เกิน 9 แสนบาท
ทั้งนี้ รายละเอียดบ้านประชารัฐที่ปรับปรุงใหม่ เดิมเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 16 ก.พ. แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไม่อยู่ จึงขยับออกไปเป็นการประชุม ครม. 23 ก.พ.นี้
สมคิดไฟเขียวบ้าน 1.5 ล้าน
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เห็นชอบกับการขยายเพดานราคา 1.5 ล้านบาท แล้ว เพราะต้องการให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน เดิมตัวนโยบายมีข้อจำกัดห้องชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยเริ่ม 22 ตร.ม. ทาวน์เฮาส์เริ่ม 70 ตร.ม. ล่าสุดเปิดกว้างไม่จำกัดขนาดพื้นที่
เหตุผลที่มีการปรับนโยบาย แหล่งข่าวกล่าวว่าเป็นเพราะภาคเอกชนอ้างว่าการพัฒนาโครงการไม่สามารถทำได้เพราะต้นทุนที่ดินแพง ในขณะที่รัฐเสนอให้เช่าที่ราชพัสดุแต่ทางผู้ประกอบการก็ไม่สนใจ เพราะเป็นสิทธิการเช่า การซื้อขาย กู้เงิน ยุ่งยากมากกว่าขายแบบโอนกรรมสิทธิ์
“ส่วนมาตรการทางด้านภาษีอาจจะไม่มีแล้วหากขยับราคาบ้านสูงขึ้น เพราะถ้าต้องการเครดิตภาษีเหมือนกับการส่งเสริม การลงทุนของบีโอไอ จะติดปัญหาในทางปฏิบัติเพราะทางกรมสรรพากรชี้แจงว่าเอกชนต้องทำในลักษณะกิจการเพื่อ สังคมหรือโซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์ วิธีการจะต้องตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ เอกชนก็ไม่อยากทำอีก”
ดึง 3 แบงก์รัฐปล่อยกู้
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า บ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนของภาคเอกชน รวมถึงทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของแบงก์รัฐรวมกันกว่า 10,000 ยูนิตจะนำเข้ามาร่วมด้วยหรือไม่นั้น ต้องรอให้นายสมคิดเป็นผู้ตัดสินใจ
ขณะเดียวกัน ในด้านราคาขายที่เพิ่มเพดานเป็นยูนิตละ 1.5 ล้านบาท ปรากฏว่า ในฝั่งผู้ซื้อยังจำกัดเพดานรายได้เดือนละ 15,000 บาทเพื่อให้ตรงกับนิยามผู้มี รายได้น้อย แหล่งข่าวจากธนาคารเฉพาะกิจ ของรัฐ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เบื้องต้นยังไม่ทราบรายละเอียดการขยายเพดานบ้านประชารัฐเป็น 1.5 ล้านบาท ซึ่งในการพิจารณาสินเชื่ออาจมีผลทำให้ผู้มีรายได้ 1.5 หมื่นบาทกู้แบงก์ไม่ผ่าน ดังนั้น หากยึดราคาบ้านดังกล่าวก็คงต้องปรับรายละเอียดกันใหม่ ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาหารือ 1-2 สัปดาห์
เคลียร์ที่ราชพัสดุ 6 แปลง
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องการขยายราคาบ้านประชารัฐ แต่ยืนยันในส่วนของกรมว่าได้เตรียมความพร้อมที่ราชพัสดุไว้แล้ว หากไม่มีเอกชนสนใจทำสัญญาเช่าเพื่อพัฒนาโครงการก็จะให้ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% เป็นผู้เข้าไปดำเนินการเอง
แผนปีนี้ กรมธนารักษ์เตรียมที่ราชพัสดุ 6 แปลงรองรับการสร้างบ้านประชารัฐ 3,400 ยูนิต ได้แก่ แปลงที่ดินวัดไผ่ตัน, บริเวณด้านหลังโรงกษาปณ์ (ประดิพัทธ์), เชียงใหม่, ชะอำ 2 แปลง และเชียงราย 30 ไร่ (เปลี่ยนจากแปลงเดิมอยู่ในความครอบครองเป็นพื้นที่ทหาร มาใช้ที่ราชพัสดุ ในอำเภอแม่จันแทน)
“พื้นที่ผมพร้อมอยู่แล้ว ถ้าเอกชนไม่ทำผมจะทำเอง” นายจักรกฤศฏิ์กล่าว
อสังหาฯ ตจว.สนใจร่วม
แหล่งข่าวจาก 3 สมาคมวงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในการประชุมร่วมระหว่างตัวแทนผู้ประกอบการกับกระทรวงการคลังเมื่อปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ฝ่ายเอกชนเสนอโมเดลการลงทุนใหม่ที่เรียกว่า ไพรซ์มิกซ์ (Prices mix) เพื่อเป็นทางออกให้โครงการบ้านประชารัฐสามารถลงทุนได้จริง
เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลกำหนดราคาขาย 5-9 แสนบาท/ยูนิตซึ่งเป็นราคาต่ำกว่า ไม่สะท้อนต้นทุนแท้จริง ในขณะที่ไม่มีการสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่จะจูงใจเอกชนให้เข้ามาร่วม
“เท่าที่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการในตลาดอสังหาฯ เห็นตรงกันว่าราคาคอนโดฯ บนที่ดินฟรีโฮลด์ (โอนกรรมสิทธิ์) 7 แสนบาทเป็นราคาขาดทุน ควรปรับเป็น 9 แสน-1 ล้านบาท ซึ่งมีหลายรายสนใจพัฒนาโครงการนี้จริง โดยเฉพาะดีเวลอปเปอร์ ในต่างจังหวัดยังหาที่ดินราคาไม่สูงได้อยู่ จึงแสดงความสนใจเข้าร่วม เพียงแต่รอฟังหลักเกณฑ์แน่นอนก่อน”
โมเดลใหม่ “ไพรซ์ มิกซ์”
แหล่งข่าวอธิบายว่า โมเดลไพรซ์ มิกซ์ คือ 1.พื้นที่ขาย 100% ให้เกลี่ยครึ่งหนึ่ง หรือ 50-60% สร้างบ้านประชารัฐในราคาควบคุมของรัฐบาล ส่วนที่เหลือ 40-50% เปิดช่องให้สามารถขายราคาสูงขึ้นในราคายูนิตละ 1-1.5 ล้านบาทได้ 2.เปิดช่องให้สามารถพัฒนาเชิงพาณิชย์ (Commercial) เช่น กรณีทาวน์เฮาส์ ที่ดินริมถนนให้สร้างอาคารพาณิชย์ขายตามราคาตลาด กรณีคอนโดฯ ห้องชั้นล่างให้ทำเป็นร้านค้า เช่น มินิมาร์ต ร้านอาหาร ร้านซักรีด ร้านเสริมสวย เหตุผลเพื่อเอกชนจะได้มีมาร์จิ้นหรือกำไรส่วนต่างของยูนิตละ 1.5 ล้านบาท มาถัวเฉลี่ยต้นทุนยูนิตละ 5-9 แสนบาทได้
ดึงกรุงไทยให้กู้พรีไฟแนนซ์
3.ในฝั่งผู้ซื้อ เมื่อขยายเพดานเป็น 1.5 ล้านบาท ก็ควรจะต้องขยายรายได้ฝั่ง ผู้ซื้อด้วย จากเดิมจำกัดเดือนละ 1.5 หมื่นบาท เสนอให้เพิ่มเป็นผู้มีรายได้เดือนละ 2.2-2.5 หมื่นบาท และ 4.ด้านสินเชื่อ เสนอให้สถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธอส. ออมสิน และกรุงไทยเข้ามาปล่อยกู้ โดยแบงก์กรุงไทยเน้นปล่อยสินเชื่อพรีไฟแนนซ์หรือปล่อยกู้ผู้ประกอบการเป็นหลัก อีกสองแห่งให้ดูแลผู้กู้รายย่อย
“โมเดล ไพรซ์ มิกซ์ ก็คือ ใน 1 โครงการสามารถมีอสังหาฯ หลายราคา ทั้งราคาที่รัฐควบคุมกับราคาสะท้อนต้นทุนพัฒนาโครงการแต่ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท รูปแบบนี้เชื่อว่าจะทำให้ทั้งรัฐและเอกชนวิน-วินด้วยกันทั้งคู่ ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ในการซื้อบ้านประชารัฐ” แหล่งข่าวกล่าว
รัฐดีเดย์นำร่อง 1 มี.ค. นี้
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” เพิ่มเติมว่า รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการบ้านประชารัฐอย่างแน่นอน โดยตั้งใจจะปักหมุดโครงการให้ได้ในวันที่ 1 มี.ค.นี้ และยืนยันหลักการมีส่วนร่วมตามแนวทาง “ประชารัฐ” ที่มีองค์ประกอบ คือ รัฐจับมือเอกชน ให้ประชาชนได้รับประโยชน์
ส่วนสาเหตุที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้าน/ยูนิต เพราะที่ผ่านมาต้นทุนราคาบ้าน-คอนโดฯ ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท แทบไม่มีในตลาด จึงต้องปรับรูปแบบโครงการให้เหมาะสม และมีการขยายฐานกลุ่มผู้ซื้อเพิ่ม จากเดิมต้องการให้เฉพาะผู้มีรายได้น้อย ขยายไปสู่กลุ่มประชาชนมนุษย์เงินเดือน พนักงานบริษัทที่มีรายได้ปานกลางด้วย จากการสำรวจข้อมูลพบว่าเป็นกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก แต่ไม่สามารถซื้อและเข้าถึงสินเชื่อได้
“โครงการบ้านประชารัฐเปิดกว้าง โดยบริษัทที่สร้างบ้านสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางได้แสดงความจำนงเข้าร่วมด้วยแม้ว่าจะได้กำไรน้อย ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าสต็อก ในมือของเอกชนที่อยู่ในเงื่อนไขราคาก็เข้า ร่วมได้ คาดว่าผลของโครงการนี้จะทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เกิดการหมุนเวียนเงินผ่านสินเชื่อและอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งระบบ” แหล่งข่าวกล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ