เจ.เอส.พี เผยพิษเศรษฐกิจกระทบธุรกิจที่อยู่อาศัย พบลูกค้าผ่อนดาวน์ล่าช้า ชี้อสังหาฯ กลุ่มอาคารพาณิชย์ยังไปได้ดี ผู้ซื้อพร้อมโอนต่อเนื่อง เผยไตรมาส 4 เตรียมเปิด 2 โครงการใหม่ โดดเด่นด้วยการผสมผสานระหว่างอาคารพาณิชย์กับที่อยู่อาศัย มั่นใจโกยรายได้ตามเป้าที่ 4 พันล้านบาท
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มที่อยู่อาศัย มีคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ขณะที่กลุ่มอาคารพาณิชย์ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง จากปัจจัยอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ส่งผลให้มีกลุ่มลูกค้าบางรายหันมาซื้ออาคารพาณิชย์เพื่อการลงทุนและซื้อด้วยเงินสดปีนี้กลุ่มลูกค้าของบริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน สะท้อนจากการผ่อนชำระเงินดาวน์ช้ากว่ากำหนด 10-20% แต่บริษัทก็สามารถสร้างรายได้ในครึ่งแรกปี 2558 ที่ 1.98 พันล้านบาท และมีสินค้ารอรับรู้รายได้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 อยู่ที่ประมาณ 5.2 พันล้านบาท โดยจะโอนในครึ่งปีหลังประมาณ 2.31 พันล้านบาท ที่เหลือ 2.9 พันล้านบาท จะทยอยโอนในปี 2559
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2558 บริษัทตั้งเป้ายอดขายและรับรู้รายได้ไว้ที่ 5 พันล้านบาทและ 4 พันล้านบาทตามลำดับ โดยครึ่งปีแรกบริษัททำยอดขายได้ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายจากโครงการที่เปิดขายในปัจจุบัน ในขณะที่รายได้ครึ่งแรกปี 2558 อยู่ที่ 2 พันล้านบาทในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนเปิดขาย 2 โครงการใหม่ รวมมูลค่าโครงการ 8 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มเปิดขายในไตรมาส 4 โดยรูปแบบโครงการจะเป็นการผสมผสานระหว่างอาคารพาณิชย์ระดับราคา 4 ล้านบาท กับที่อยู่อาศัยประเภทบ้านแฝดระดับราคา 3 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ระดับราคาล้านบาทต้นๆ ในสัดส่วนอาคารพาณิชย์ 30% และที่อยู่อาศัย 70% ประกอบด้วยโครงการที่อำเภอแพรกษา จังหวัดสมุทรปราการ บนพื้นที่ 218 ไร่ มูลค่าโครงการ 4 พันล้านบาท และโครงการที่บริเวณรังสิตคลอง 1 บนพื้นที่ 140 ไร่ มูลค่าโครงการ 4 พันล้านบาท คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จและทยอยรับรู้รายได้ในปี 2559-2561 นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดโครงการมิกซ์ยูสระหว่างอาคารพาณิชย์ บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์อีก 1 โครงการที่บางบัวทอง บนพื้นที่ 90 ไร่ มูลค่าโครงการ 4 พันล้านบาทในช่วงต้นปี 2559
โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากรายได้จากการขายและให้เช่าพื้นที่ คิดเป็นสัดส่วนรายได้จากการขาย 95% ของรายได้รวม ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากอาคารพาณิชย์ โครงการคอนโดมิเนียม และสำเพ็ง 2 คอนโดฯ สุดท้ายเป็นบ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ สำหรับรายได้จากการเช่าจะมาจากค่าเช่าพื้นที่มอลล์และบาร์ซาร์ คิดเป็น 5%ของรายได้รวม อาทิ สำเพ็ง 2 พลาซ่า สำเพ็ง 2 ตลาดน้ำ สำเพ็ง 2 ปาร์ค ไมอามี่ บาซาร์ ไมอามี่ มอลล์และทิวลิป มอลล์สำหรับปัญหาการเก็งกำไร เริ่มเห็นสัญญาณบ้างในกลุ่มลูกค้าอาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตามลูกค้ายังมีการโอนสัญญาตามปกติ แต่ก็ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด โดยปรับเงินดาวน์เพิ่มขึ้นเป็น 30% จาก 25% สำหรับโครงการที่จะเปิดใหม่ในครึ่งหลังปี 2558 บริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ