หลังจากที่ถกเถียงกันมานานจนกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตกลงกันได้ที่จะใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นฐานในการกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเพื่อใช้ในการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
แต่เพียงปีแรกที่ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปแทนการใช้เงินเฟ้อพื้นฐาน ก็เกิดภาพอัตราเงินเฟ้อติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยเดือน ม.ค.เงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อลดลงมากเกินคาดก็เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างหนักจากการเปิดบ่อน้ำมันของสหรัฐ ในขณะที่กลุ่มประเทศโอเปกก็ไม่ลดกำลังการผลิต ดึงให้ราคาน้ำมันร่วงลงมาเหลือไม่ถึง 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ราคาพลังงานลดลงมาก ส่วนราคาสินค้าก็ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น
ธปท.ยืนยันปรากฏการณ์นี้ว่า ภาวะเงินเฟ้อต่ำแต่ไม่ใช่ภาวะเงินฝืด เพราะอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไม่ได้ติดลบเพียงแค่ชะลอตัวลงแต่ยังมีการขยายตัว การบริโภคของประชาชนก็ยังมี แต่ในภาวะราคาน้ำมันลดลงจะดูอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมาวัดการบริโภคก็ไม่ได้เพราะราคาน้ำมันลดลง ส่วนการลงทุนภาคเอกชนก็เกิดขึ้นเป็นระยะ
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปยังคงเคลื่อนไหวลงตามทิศทางราคาพลังงาน ดัชนีราคาพลังงานเดือน ม.ค.ชะลอตัวลงถึง 13.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2557 เป็นต้นมา โดยยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการปรับลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลงเฉลี่ยกว่า 9% ตลอดเดือน ม.ค. และจากการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ลง 10.04 สตางค์/หน่วย นอกจากนี้ ต้นทุนน้ำมันค่าขนส่งที่ลดลงยังส่งผลให้ระดับราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดชะลอตัวลงเช่นกัน
พรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ที่นักเศรษฐศาสตร์มองกันว่าเศรษฐกิจไทยไม่เกิดเงินฝืดเพราะหมวดสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ดัชนีราคาส่วนใหญ่ไม่ได้ชะลอตัวลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าคงทนและบริการต่างๆ เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์ กิจกรรมเพื่อสุขภาพ หรือกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ยังไม่ประสบปัญหารุนแรงจากการลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค
“พื้นฐานปัญหาไม่เหมือนญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ซึ่งทั้งสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเจอปัญหาเงินฝืด เพราะกำลังซื้อไม่มีจึงกดให้เงินเฟ้อต่ำ ประชาชนไม่ใช้จ่ายเงินอาจจะเพราะเป็นสังคมผู้สูงอายุ ไม่แน่ใจในรัฐบาล ทำให้ไม่อยากใช้จ่าย ธุรกิจก็ขายของไม่ออก เป็นปัญหาที่วนไปวนมา” พรายพล กล่าว
แม้ปัญหาของเศรษฐกิจไทยอาจไม่เหมือนในสหภาพยุโรป หรือญี่ปุ่น แต่ประชาชนรู้สึกว่ามีเงินน้อยลง จึงชะลอการใช้จ่ายสินค้าที่ไม่จำเป็น และหากความรู้สึกไม่มีเงินยังคงอยู่จะทำให้เกิดภาวะเงินฝืดจากคนไม่ใช้จ่ายก็เป็นได้
เมื่อเห็นว่าเงินไม่ฝืด ธปท.ก็ส่งหนังสือชี้แจงเรื่องนโยบายดอกเบี้ยต่อกระทรวงการคลังถึงภาวะเงินเฟ้อติดลบที่เกิดขึ้นชั่วคราวนี้ว่า ธปท.เห็นว่าดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 2% นั้นเหมาะสมแล้ว
ด้าน อรุณ จิรชวาลา กรรมการ ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า นิยามของเงินฝืดน่าจะต้องหลุดจากกรอบความคิดเดิม เงินเฟ้อติดลบเพราะต้นทุนต่ำลงไม่ได้หมายความว่าเงินฝืด แต่ปัญหาของประเทศไทยก็ไม่ใช่เรื่องดอกเบี้ย แต่เป็นเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน
“สำหรับคนเมืองทุกอย่างดีขึ้น ราคาน้ำมันลดลงทำให้ราคาสินค้าไม่ปรับสูงขึ้น แต่คนที่จะได้รับผลกระทบมากคือ เกษตรกรที่ขายสินค้าได้ราคาต่ำลง โดยเฉพาะหากอัตราแลกเปลี่ยนของไทยไม่สามารถที่จะแข่งขันการส่งออกกับประเทศคู่แข่งได้ เกษตรกรจะเป็นกลุ่มที่กระทบมากที่สุด นี่คือสิ่งที่ผมเป็นห่วง และเชื่อว่ารัฐบาลก็เป็นห่วงเช่นกัน” อรุณ กล่าว
การที่ ธปท.ยังคงขึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม เพราะมีความเป็นห่วงทางด้านเงินออม และไม่ต้องการให้ดอกเบี้ยลดลงจนทำให้ผู้ยังชีพจากดอกเบี้ยเงินฝากได้รับผลกระทบมากนัก และอาจจะเกิดเงินไหลออกจากระบบธนาคารไปเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือตลาดหุ้น ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
แต่การยืนดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับดังกล่าว ก็ถูกมองว่าเป็นการทำให้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทของไทยแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนักค้าเงินคาดการณ์กันว่า ธปท.จะไม่ทำอะไรกับดอกเบี้ยนโยบาย จะรอให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยเอง และปัญหาเรื่องเงินแข็งค่าจะคลี่คลาย
นักค้าเงินระบุว่า การที่ ธปท.ไม่ได้นำเอาอัตราแลกเปลี่ยนมาเป็นปัญหา เพราะมีความเชื่อว่าปัญหาโครงสร้างการส่งออกของไทยเป็นปัญหามาจากการที่ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ผลิตสินค้าที่ล้าสมัยและตลาดไม่ต้องการ แม้ค่าเงินจะอ่อนค่าลงก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้การส่งออกดีขึ้น
ประเด็นนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ต้องกลับไปพิจารณาไส้ในของการส่งออกโดยละเอียดว่าเป็นอย่างไร อดีตบอร์ด กนง.อย่างพรายพล มองว่า ขณะนี้นโยบายการเงินไม่สามารถใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ต้องหันกลับไปใช้นโยบายการคลังแทน ซึ่งรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศทดแทน ผ่านการลงทุนโครงการต่างๆ
อาการติดหล่มของเศรษฐกิจไทย เป็นปัญหาที่รัฐบาลยังหาทางแก้ไขไม่ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะโครงการช่วยเหลือเกษตรกรและกลุ่มรากหญ้า มักจะถูกมองว่าเป็นโครงการประชานิยม ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศชัดเจนว่า รัฐบาลชุดนี้จะไม่ดำเนินโครงการประชานิยมสร้างปัญหาให้กับประเทศในระยะยาว
“การที่ไม่เกิดเงินฝืดในขณะนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดภาวะนี้ขึ้นได้ ภาวะเงินฝืดเกิดขึ้นได้หากรัฐบาลไม่ทำอะไร ไม่มีใครทำอะไรปล่อยให้ปัญหาดำเนินไปเช่นนี้” พรายพล กล่าว