แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2558 ที่ส่วนใหญ่คาดว่ายังซบเซาต่อเนื่อง เติบโตต่ำกว่าศักยภาพไม่ถึง 3-4% ตามที่รัฐบาลตั้งเป้า ล่าสุดยังโดนซ้ำ เมื่อเงินเฟ้อติดลบในรอบกว่า 5 ปี ตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์ ดัชนีราคา ผู้บริโภคทั่วไป หรือซีพีไอ เดือน ม.ค. อยู่ที่ 106.02 ติดลบ 0.41% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะราคาน้ำมันและ ค่าไฟฟ้าลดลง
ท่ามกลางเงินเฉียดฝืดเช่นนี้ กลุ่มธุรกิจต้องปรับราคาทอง วันที่ 30 ม.ค. 2558 ตัวอย่างไร สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ในเครือบริษัท ซีพี ออลล์ ผู้บริหาร19,500 19,600 ร้านค้าปลีกเซเว่น อีเลฟเว่นให้ความเห็นว่า ตามทฤษฎี19,222 20,000 เงินเฟ้อที่ติดลบคือเงินฝืด แต่ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ปกติลดลง150บาทเช่นนี้ เมื่อวิเคราะห์ถึงต้นตอของเงินเฟ้อติดลบมาจากต้นทุนผลิตที่ลดลง เช่น ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ในสภาพไม่ปกตินี้ หากผู้ประกอบการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดีจะเป็นประโยชน์มาก
ทั้งนี้ เพราะหากต้นทุนน้ำมันกับดอกเบี้ยที่ลด ผู้ประกอบการนำไปบริหารจัดการให้ราคาสินค้าลดลง ส่งผลให้ราคาสินค้าต่ำลงมาใกล้เคียงกับกำลังซื้อที่ลดลงหรือสูงกว่าไม่มากได้ ก็จะเกิดการบรรจบของราคาขายกับราคาซื้อ ทำให้กิจการนั้นเติบโตมากขึ้นแน่ เงินฝืดที่มาจากต้นทุนน้ำมัน หรืออัตราดอกเบี้ยลดเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจซบ ดังนั้นต้องบริหารจัดการให้เป็นจะเกิดประโยชน์มาก
รัฐบาลจะต้องบริหารจัดการ 3 เรื่อง คือ 1.ลงมาเจรจากับผู้ประกอบการ ให้ราคาสินค้ายืดหยุ่น ขึ้นลงตามจริง 2.ทำโครงสร้างให้เกิดการแข่งขัน และ 3.ให้ข้อมูลประชาชน เหมือนที่รัฐบาลบริหารจัดโครงสร้างพลังงานที่สะท้อนความจริงในขณะนี้ ส่วนกลุ่มธุรกิจช่วงนี้ถือเป็นโอกาสดีในการลงทุน ในจังหวะต้นทุนต่ำ และเตรียมรับกำลังซื้อที่จะฟื้น โดยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ตามตัวเลขขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอที่สูงขึ้น การจ้างงานย่อมมากขึ้น กำลังซื้อจะเพิ่มกลับมา แต่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจูงให้เอกชนลงทุนตาม
“ปีนี้พระเอกดันเศรษฐกิจจะมาจาก 2 ตัว คือ การใช้จ่ายภาครัฐกับการลงทุนเอกชน ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของเมนแลนด์เมื่อเปิดเออีซี รวมไปถึงจีนตอนใต้ ทำให้ไทยเป็นเซอร์วิสเซ็กเตอร์ ลงทุนโลจิสติกส์ ลงทุนการสื่อสาร ส่วนส่งออกก็สำคัญ แต่ควรส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูง” สมภพ กล่าว
ภาวะเศรษฐกิจปีนี้ต้องตีโจทย์ให้แตก เพราะผันผวนสูง ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องดูแลค่าเงินให้ยืดหยุ่นเหมาะสม ไม่ใช่ทำให้ค่าเงินอ่อนแข่งกับประเทศอื่น ไทยควรมองระยะยาว ส่วนนักธุรกิจต้องทำ 3 เรื่อง 1.บริหารต้นทุน 2.บริหารตลาด และ 3.บริหารเงิน เพราะค่าเงิน อัตราดอกเบี้ย แกว่งตัวมาก
ด้านมุมมองของนักการตลาด ชลิต ลิมปนะเวช อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจปี 2558 ที่ไม่ฟื้นอย่างที่รัฐบาลคาด เป็นสิ่งที่ประเมินกันไว้แล้วว่าในครึ่งแรกของปีนี้ เงินจะฝืดนิดๆ เพราะคนไม่กล้าใช้จ่าย แม้ราคาน้ำมันโลกลดลง ทำให้ต้นทุนค่าเดินทางลด แต่เงินที่เหลือประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมด จะใช้อย่างระวัง เช่น ประหยัดค่าน้ำมันค่าเดินทางได้เดือนละ 800 บาท แต่เงินที่ประหยัดได้อาจใช้แค่ 300-400 บาท
นอกจากนี้ จากระเบิดที่เกิดขึ้นที่ศูนย์การค้ากลางเมือง ปัจจัยนี้ยิ่งทำให้คนระวังใช้จ่ายมากขึ้น รวมทั้งเลี่ยงเดินเล่นตามศูนย์การค้า ดังนั้น รัฐบาลอย่าเพียงทำนโยบายคืนความสุข รัฐบาลควรจัดการกับผู้ทำความผิด ทุจริตคอร์รัปชั่น ต้องลงโทษขั้นเด็ดขาด เช่น สมัยรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่สั่งยิงเป้าเลย ถ้าจับผู้วางระเบิดได้ก็ควรลงโทษเด็ดขาด ที่ผ่านมารัฐบาลถ่วงดุลการลงทุน ต่างประเทศดีแล้ว ซึ่งเมื่อจีนได้ลงทุนรถไฟฟ้าเส้นเหนือลงใต้ ทางญี่ปุ่นก็ได้ลงทุนรถไฟเส้นตะวันตกไปตะวันออก
ขณะที่รัฐบาลก็ควรใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ย่อมลงทุนได้เร็ว ไม่ต้องผ่านอีกหลายฝ่าย หากรัฐบาลลงทุนจริงจะทำให้เอกชนอีกหลายร้อยธุรกิจลงทุนตาม เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่จะลงทุนตามระบบคมนาคมต่างๆ ทำให้ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ตกแต่ง ตามมาอีก สร้างงาน จ้างงานจำนวนมาก
“ส่วนกลยุทธ์นักธุรกิจ ครึ่งปีแรกต้องลดแลกแจกแถม ต้องบริหารต้นทุนให้ต่ำ เพื่อให้ขายในราคาถูกและยังมีกำไร ในครึ่งปีแรกต้องใช้เทคติคอลแคมเปญ ต้องโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม มากกว่าใช้งบสร้างแบรนด์ ยกเว้นสินค้า ลักซ์ชัวรี่หรูหรา โดยนักธุรกิจต้องทำ 3 เรื่อง 1.บริหารต้นทุนให้ต่ำ เช่น นำเทคโนโลยีมาช่วย ทำโมบายแบงก์กิ้ง โมบายคอมเมิร์ซ 2.ต้องขยายเข้าไปทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อได้ลูกค้าต่างประเทศด้วย และ 3.ทำโลจิสติกส์ สร้างบารมีตั้งทีมจักรยานยนต์เป็นพันคันเพื่อส่งของ เปิดแวร์เฮาส์ให้เช่า” ชลิต กล่าว
จากภาพรวมทั้งหมดจะเห็นได้ว่าในยุคเงินเฉียดฝืดยังมีทางรอดเปิดช่องให้โตได้อีกเพียบ