เน็กซัสฯ เผยผลศึกษาพบ 5 ทำเลคอนโดฯดีมานด์สูง-น่าลงทุน ศาลาแดง, สุขุมวิท, พหลโยธิน, รามอินทรา, เพชรเกษม-ท่าพระ จับตา 4 ความเคลื่อนไหวในปี 58
จับกระแสเพื่อการลงทุน 1.รายใหญ่ หันเพิ่มรายได้จากการซื้อทรัพย์สินอื่นเพื่อขยายพอร์ต และได้รายได้จากการปล่อยเช่า 2.รายย่อย ตจว.ขยายฐานแชร์ตลาดอสังหาฯ กทม. 3.ราคาที่ดินกทม.ขยับขึ้นอีก 10-15% 4.อสังหาฯขยับจับคอนโดฯ -ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว ลักชัวรี่เขต CBD เพิ่ม เชื่อราคาไปไกลได้ถึง 300,000 บาท/ตารางเมตร ระบุคอนโดฯในเมืองไปได้สวยหากการเมืองนิ่ง และผู้ประกอบการไม่อัด ซัปพลายเกิน 50,000-60,000 ยูนิตต่อปี
นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจซึ่งมีทิศทางดีขึ้น การขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้างรถไฟฟ้า และส่วนต่อขยายที่เป็นรูปธรรมความมั่นคงทางการเมือง เป็นปัจจัยบวก ที่ส่งผลให้แนวโน้มการลงทุนโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมขยายตัวในทิศทางที่ดีต่อจากปี 2557 ที่ผ่านมา ขณะที่มองไปถึงปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบในปีนี้ มีเพียงปัญหาการปรับตัวสูงขึ้นของราคาที่ดิน ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายห้องชุด และต้นทุนการพัฒนาโครงการของผู้พัฒนาเท่านั้น
ทั้งนี้ หากปัจจัยพื้นฐานดี ตลาดคอนโดขยายตัวได้ดีเช่นกัน โดยคาดว่าในระยะ 3-5 ปี ตลาดจะโตได้ประมาณ 10-15% ต่อปี ภายใต้เงื่อนไขการไหลของซัปพลายใหม่ในตลาดต้องไม่เกิน 50,000-60,000 ยูนิตต่อปี ส่วนด้านราคาขายคอนโดฯนั้นคาดว่าจะสูงต่อเนื่อง จากปัจจัยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการพัฒนาห้องชุดใหม่ๆ มีขนาดยูนิตเล็กลง เพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อของผู้บริโภค
สำหรับทำเลที่มีความต้องการที่ดีและคาดว่าจะเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเป็นทำเลที่เหมาะแก่การลงทุน ยังคงเป็นใจกลางกทม. ประกอบด้วย ทำเล ศาลาแดง, หลังสวน-เพลินจิต และย่านสุขุมวิท 49-ทองหล่อ สำหรับทำเลย่านขอบเมืองที่จะเป็นที่น่าดึงดูดได้แก่ ต้นๆ พหลโยธินตอนต้น และท่าพระ-เพชรเกษม และรามอินทรา เนื่องจากที่ดินดีๆ นั้นหายากมากขึ้น ทำให้ซัปพลายในพื้นที่เกิดใหม่น้อยตามไปด้วย
นางนลินรัตน์ กล่าวว่า ในด้านความเคลื่อนไหวของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 58 นี้ จะมี 4 ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามมอง คือ 1.ผู้ประกอบการรายใหญ่ จะมีการขยายไลน์ธุรกิจสู่ตลาดใหม่ๆ เช่น ซื้อทรัพย์สินอื่นเพื่อขยายพอร์ต และได้รายได้จากการปล่อยเช่า หรือบ้าน นอกจากการพัฒนาคอนโดฯและบ้านเพียงอย่างเดียว ส่วนคอนโดฯต่างจังหวัด คาดว่ารายใหญ่ในตลาดหลัก ทรัพย์บางส่วนจะชะลอการลงทุนออกไป 2. ผู้ประกอบการหน้าใหม่ยังคงขยายธุรกิจสู่ตลาด กทม. เนื่องจากผลตอบแทนสูงกว่าเซ็กเตอร์อื่นๆ ซึ่งจะพบได้ว่าแม้ว่า 70% ของซัปพลายที่เข้าสู่ตลาด จะมาจากรายใหญ่แต่อีก 30% จะยังคงมาจากรายย่อย หรือผู้ประกอบการหน้าใหม่ 3.ความเคลื่อนไหวของราคาที่ดินใน กทม. ซึ่งคาดว่าจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10-15% โดยเฉพาะพื้นที่ในเมืองและแนวรถไฟฟ้า และ 4.การขยายตัวของโครงการ Luxury or super Luxury ซึ่งจะมีให้เห็นมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากที่ดินในเขต CBD ที่หายากขึ้นทุกวัน