จากการเกิดขึ้นของโครงการเมกะโปรเจ็กต์โดยเฉพาะระบบรางทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ นั้น ในภาพรวมแล้วธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์หรือประโยชน์โดยตรงจากการเกิดขึ้นของโครงการเหล่านี้ก็คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
“อธิป พีชานนท์” กรรมการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า หากโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐได้รับการอนุมัติและดำเนินการได้จริง และมีการเบิกจ่ายงบประมาณที่รวดเร็ว จะส่งผลทางบวกต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นการสร้างความมั่นใจและมีความตื่นตัวมากขึ้น ซึ่งจะต้องรอติดตามว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะเรื่องการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าเป็นนโยบายที่มีมานานแล้ว แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโครงการก็เปลี่ยนไปตามรัฐบาลสมัยนั้น ขณะที่ในความเป็นจริงนั้นกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จต้องใช้ระยะเวลาหลายปี เพราะขั้นตอนการอนุมัติจะต้องผ่านหลายกระบวนการตั้งแต่การศึกษา การยื่นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม การประมูลและว่าจ้างเพื่อหาผู้รับเหมา เป็นต้น
“การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและมีผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการอนุมัติโครงการ ประกวดราคา ประมูลงาน หรือดีที่สุดคือ เริ่มก่อสร้าง เพราะการก่อสร้างนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากพูดอย่างเดียวมันก็มีแต่ฟองน้ำลาย ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่เห็นของก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าการลงทุนภาครัฐในอนาคตที่จะเกิดขึ้น จะกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ได้มากน้อยเพียงใด เพราะเดิมมีการโปรโมทเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเชิงการเมืองด้วย มีการเดินสายอธิบายมากมาย แต่ก็ยังไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น” นายอธิปกล่าว นายอธิปกล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาที่จะเกิดขึ้น หากเป็นในกรุงเทพฯและปริมณฑลนั้นโครงการที่อยู่อาศัยจะพัฒนาตามแนวรถไฟฟ้าซึ่งก็คือโครงการคอนโดมิเนียม แต่หากเป็นรถไฟทางคู่สายต่างๆ นั้นจะเป็นการสร้างความเจริญให้แก่ภูมิภาค ทำให้ที่ดินในจังหวัดที่มีรถไฟทางคู่ผ่านหรือเป็นจุดจอด มีศักยภาพและทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัย ความต้องการด้านพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมมากขึ้น จะมีผลกระตุ้นต่อตลาดที่รถไฟไปถึง มองว่ารถไฟทางคู่ทุกสายมีศักยภาพ เพราะสามารถขนส่งได้ทั้งคนและสินค้า ทำให้การคมนาคมขนส่งสะดวกมากขึ้น ดีกับทั้งภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและภาคท่องเที่ยว ที่อยู่อาศัย ซึ่งจะต้องรอดูแผนงานของภาครัฐว่าจะเริ่มสร้างที่ไหนก่อน เมื่อไร รวมทั้งต้องติดตามว่าจะส่งผลต่อจังหวัดค้าชายแดนอย่างไร และจะได้รับอานิสงส์เมื่อไร แต่เชื่อว่าอาจทำให้การค้าชายแดนตื่นตัวมากขึ้น เพราะจะมีการขนสินค้าไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านได้ ซึ่งต้นทุนต่ำกว่าวิธีการขนด้วยรถบรรทุก ช่วยกระตุ้นให้เกิดการค้า และทำให้เกิดคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าขึ้น ตามชุมทางรถไฟและจุดตัดของรถไฟสายต่างๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการรถไฟทางคู่จะขยายการลงทุนไปยังต่างจังหวัด แต่มองว่าการลงทุนจะไม่คึกคักมากนัก เนื่องจากตลาดต่างจังหวัดชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรที่ตกต่ำ มีผลต่อกำลังซื้อของเกษตรกร ชะลอการบริโภค ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดน้อยลงไป
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร๊อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือพีเอฟ กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ทั้งรถไฟฟ้าและรถไฟทางคู่ จะเป็นการเปิดพื้นที่การลงทุนใหม่ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการจะมีทั้งโครงการคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และ ทาวน์เฮาส์ กระจายไปตามทำเลต่างๆ ทั้งนี้ โครงการที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการคือ รถไฟทางคู่ โดยเฉพาะ เส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างเหนือ-ใต้ เป็นการสร้างความเจริญให้แก่ประเทศ เพราะจะเป็นการเชื่อมต่อการเดินทางของประเทศให้สะดวก ทั้งในแง่การเดินทางของคนและขนส่งสินค้า คล้ายกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากที่มีรถไฟเชื่อมเหนือและใต้ ทำให้ประเทศพัฒนาและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ “สัมมา คีตสิน” ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ประเมินว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี2558 จะขยายตัวได้ตามภาวะปกติที่ประมาณ 5% และมีแนวโน้มจะเติบโตถึง 10% ภายใต้เงื่อนไขไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่เข้ามากระทบต่อเศรษฐกิจไทย คาดว่าธุรกิจบ้านจัดสรรจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่ประมาณ 45,000 ยูนิต
ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าสายใหม่ คาดว่าจะมีจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่กว่า 70,000 ยูนิต โดยเฉพาะทำเลที่เป็นโครงข่ายรถไฟฟ้าซึ่งขยายออกสู่ชานเมืองมากขึ้น คือ โซนนนทบุรี-บางบัวทอง รถไฟฟ้าสายสีม่วงที่จะเปิดบริการปลายปี 2558 และกลุ่มเซ็นทรัลเตรียมเปิด เซ็นทรัลเวสต์เกต และโซนสมุทรปราการ ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีเขียว และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพชรเกษม-บางหว้า ซึ่งปีที่ผ่านมามีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่จำนวนมาก
“การพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม เช่น ระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ จะทำให้เกิดการเดินทางจากพื้นที่ปริมณฑลด้านหนึ่งของเมืองไปสู่พื้นที่ปริมณฑลด้านอื่นของเมืองเป็นไปได้รวดเร็ว ทำให้เกิดขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูงไปทั่วปริมณฑล และยังทำให้เกิดย่านศูนย์กลางธุรกิจหลากหลาย ที่ไม่ใช่เพียงศูนย์กลางธุรกิจดั้งเดิม และเกิดการพัฒนาอาคารสูงระฟ้าจะมีความโดดเด่นการสร้างแลนด์มาร์กใหม่ของเมือง ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ”
ทั้งนี้ การขยายการลงทุนไปต่างจังหวัดจะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองระดับรองของประเทศ ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงอยู่แล้วเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยจังหวัดระดับรองที่มีศักยภาพ ได้แก่ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย จันทบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี ตาก นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุพรรณบุรี นครนายก กระบี่ ตรัง สุราษฎร์ธานี เป็นต้น รวมทั้งการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษจะมีส่วนช่วยให้การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในบริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษและพื้นที่ใกล้เคียง
นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่มองโอกาสการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค ทั้งพม่า ลาว และกัมพูชา เป็นต้น