วางแผนระดมทุนวงเงิน ‘หมื่นล้าน’ซื้อสินเชื่อ ที่อยู่อาศัย
บตท.เล็งจับมือ 5 ผู้ประกอบการอสังหาฯ ปล่อยสินเชื่อบ้านรายย่อย คาดดอกเบี้ยต่ำกว่าสถาบันการเงิน 1% เอกชนหนุนตั้ง “เอ็มจีซี” เสริมสินเชื่อจากแบงก์
นางพรนิภา หาชัยภูมิ กรรมการผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย(บตท.) เปิดเผยว่า บตท.อยู่ระหว่างประสานและผลักดัน ให้ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชน คาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่คิดกับผู้ขอสินเชื่อจะต่ำกว่าสถาบันการเงินราว 1%
ขณะนี้ บตท. กำลังหารือกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ 4-5 บริษัท ซึ่งมีความสนใจจะเป็นผู้ให้สินเชื่อแก่ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของตนเอง และต้องการให้ลูกค้าสินเชื่อนั้น มาให้ บตท. ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้มีสภาพคล่อง เพื่อนำไปใช้ลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
นางพรนิภา กล่าวว่าในประเทศญี่ปุ่น ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าของตนเอง เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสถาบันการเงินที่ให้กู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยราว 1% เนื่องจากการขายที่อยู่อาศัย สร้างผลกำไรได้มากกว่าดอกเบี้ยจากการไฟแนนซ์สินเชื่อ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องการขายที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ด้วยการอำนวยความสะดวกด้านสินเชื่อไปพร้อมกัน คาดว่าธุรกิจอสังหาฯในประเทศไทยน่าจะมีลักษณะคล้ายกับญี่ปุ่นระดมทุน’หมื่นล้าน’ซื้อสินเชื่อ
ทางด้านความเสี่ยงของ บตท. ที่จะเข้าไปซื้อ สินเชื่อบ้านจากผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อาจมีความขัดแย้งในผลประโยชน์ ที่ต้องการขายบ้าน จึงทำให้การอนุมัติ สินเชื่อโดยไม่รอบคอบ ดังนั้นเพื่อขจัดความเสี่ยง ดังกล่าว การอนุมัติสินเชื่อของผู้ประกอบการ อสังหาฯ จะต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานของ บตท. และการกลั่นกรองของ บตท. ซึ่งในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการส่งข้อมูลให้สถาบันการเงินช่วยวิเคราะห์
ทั้งนี้ การให้ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าของตนเองได้นั้น ไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายใด เช่นเดียวกับบริษัทรถยนต์ที่ตั้งบริษัทลีสซิ่ง เพียงแต่จะต้องทำให้ผู้ประกอบการ มั่นใจว่า บตท.จะต้องเข้าไปซื้อสินเชื่อนั้นเพื่อช่วยสภาพคล่องของบริษัท
นางพรนิภา กล่าวอีกว่าสินเชื่อดังกล่าว จะเป็นสินเชื่อคงที่ในระยะยาวอาจถึง 20 ปี จากปัจจุบันที่ บตท. สามารถทำสินเชื่อคงที่นานถึง 10 ปี ขณะที่ญี่ปุ่นสามารถทำอัตราดอกเบี้ยบ้านคงที่นานถึง 35 ปี ในอัตราดอกเบี้ยค่อนข้าง ต่ำที่ 2.7% สำหรับประเทศไทยหากคงที่นานถึง 20 ปี อัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะสูงเกิน 6%
ปีนี้ บตท.มีแผนระดมทุน ในวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในวงเงินเดียวกันนี้ ขณะที่ปัจจุบัน บตท. มีพอร์ตสินเชื่อรวม 1.7 หมื่นล้าบาทเอกชนหนุนตั้ง’เอ็มจีซี
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าการจัดตั้งเอ็มจีซี หรือ Mortgage Companyนั้น บตท.จะต้องเข้ามา สนับสนุน 100% และจะต้องมีกฎระเบียบที่ชัดเจน รวมทั้งจะต้องมีการประเมินความเสี่ยงเรื่องการโอนสินเชื่อได้เร็ว เพราะผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับภาระหนี้ได้ยาวนาน
“การจัดตั้งเอ็มจีซี มองว่ามีข้อดี เพราะจะเข้ามาบาลานซ์การให้สินเชื่อจากแบงก์ เพราะที่ผ่านมาหากแบงก์ สามารถปล่อยสินเชื่ออื่นได้ ก็จะมีการแบ่งพอร์ตและลดความสนใจ สินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่จะต้องมีความชัดเจนเรื่องการจัดการว่าใครจะเป็นผู้ดูแลหนี้เสียหรือทวงหนี้ เพราะผู้ประกอบการไม่ใช่สถาบันการเงินและไม่สามารถแบกภาระหนี้ได้ รวมทั้ง จะต้องมีการกำหนดกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับลดลง ให้ลูกค้านำสินเชื่อมารีไฟแนนซ์ได้” นายอธิปกล่าว
สำหรับบตท. เองมองว่าควรจะมีแหล่งเงินทุนที่ชัดเจน ซึ่งอาจจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรมีความต่อเนื่อง ซึ่งผู้บริโภคได้ประโยชน์ เพราะสามารถกู้บ้านในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ที่คงที่ในระยะยาว
ด้านนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดตั้งเอ็มจีซีของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นั้น หากจะมีการรวมกลุ่มจัดตั้งก็สนใจที่จะร่วม อย่างไรก็ตามจะต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบ และดูว่ามีรูปแบบอย่างไร สามารถทำได้จริงหรือไม่อสังหาฯปีนี้โต 8%
นายอธิป กล่าวต่อว่าธุรกิจอสังหาฯปีนี้ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัว ประกอบกับ ราคาน้ำมันลดลง ช่วยลดค่าครองชีพลง คาดภาพรวมอสังหาฯในปีนี้จะขยายตัว 8% แต่ยังต้องจับตาภาคการส่งออก ซึ่งหากเติบโตต่ำกว่าที่คาดหมาย อาจจะกระทบต่อบริษัท ส่งออก การลดค่าล่วงเวลา จนกระทบรายได้ของลูกจ้างได้ ดังนั้นจึงเสนอรัฐบาลเร่งผลักดัน การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เพื่อกระตุ้น การลงทุนและ การบริโภคในประเทศ
สำหรับทิศทางราคาบ้านจัดสรรในปีนี้ น่าจะปรับขึ้น 3-5% ส่วนคอนโดมิเนียมปรับขึ้น 8-10% แม้ราคาน้ำมันปรับลดลงซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งวัสดุก่อสร้างและค่าถมที่ดินต่ำลง แต่เนื่องจากต้นทุนราคาที่ดินปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะที่ดินในทำเลใกล้รถไฟฟ้า ปรับสูงขึ้น 10-20% บวกกับค่าจ้างแรงงานก่อสร้างก็เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาบ้านและคอนโดมิเนียมยังปรับขึ้นต่อเนื่อง
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ