ตลาดลิฟต์-บันไดเลื่อน 7 พันล้านปีไก่ยังสดใส “มิตซูบิชิ” เผยปัจจัยบวกอสังหาฯแนวรถไฟฟ้า-ธุรกิจโรงพยาบาลโต หนุนธุรกิจเฟื่องฟู มั่นใจปีนี้โต 5-7% โกยรายได้ทะลุ 2.4 พันล้าน เท 40 ล้านผุดศูนย์ฝึกอบรมการขนส่งแนวดิ่ง เสริมแกร่งธุรกิจเหนือคู่แข่ง
นายมุเนอิสะ โอกาโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่าย ติดตั้ง และให้บริการลิฟต์และบันไดเลื่อนแบรนด์ “มิตซูบิชิ” เปิดเผยว่า บริษัททำตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนระดับไฮเอนด์มานานกว่า 40 ปี มีลูกค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ปัจจุบันแผนการตลาดจะยังคงนโยบายยึดมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพเป็นหลัก ด้วยการผ่านมาตรฐานทั้ง ISO 9001, ISO 18001, ISO 14000 เพื่อบริการทุกขั้นตอนให้มีคุณภาพการติดตั้งการให้บริการจากทีมวิศวกรและช่างผู้ชำนาญมากกว่า 350 คน มีศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินทั่วประเทศตลอดทุกวัน 24 ชั่วโมง
ปัจจุบันภาพรวมของตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนมีมูลค่าตลาดประมาณ 7,000 ล้านบาท/ปี มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-7% แนวโน้มตลาดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสาย ทำให้ดีเวลอปเปอร์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก เริ่มพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลขยายการลงทุนออกไปยังปริมณฑลและต่างจังหวัด เป็นการขยายตลาดกว้างขึ้น และเป็นตัวหนุนให้ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้งบฯลงทุนกว่า 40 ล้านบาท สร้างศูนย์ฝึกอบรมการขนส่งแนวดิ่งแห่งใหม่บนพื้นที่ 1,200 ตร.ม. ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม.7 เป็นศูนย์ฝึกอบรมที่ทันสมัยและสมบูรณ์แบบที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ประกอบด้วยห้องฝึกอบรมหลัก 4 ห้อง ลิฟต์จำนวน 7 ตัว บันไดเลื่อน 2 ตัว อีกทั้งยังมีห้องแสดงตัวอย่างสินค้า เช่น แผงปุ่มกด ผนังลิฟต์ เพดานลิฟต์ต่าง ๆ ลูกค้าสามารถเข้ามาชมสินค้า รวมทั้งระบบ Access Control พร้อมรองรับการเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมด้านการขนส่งแนวดิ่งในภูมิภาค
นายสันติพงษ์ บูรณกฤตยากรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า ปี 2559 ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนขยายตัวในช่วงปลายปีหลังรัฐบาลเร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ขยายอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างมีความคึกคัก ผู้ประกอบการหลายรายเดินหน้าโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ เช่น นนทบุรี สมุทรปราการ มีนบุรี และกรุงธนบุรี
โดยปีที่แล้วบริษัทมียอดขายมากกว่า 1,700 ตัว มูลค่า 2,200 ล้านบาท ส่วนปี 2560 ตั้งเป้ายอดขาย 1,800 เครื่อง มูลค่า 2,400 ล้านบาท หรือเติบโต 5-7% ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากสุดอยู่ที่ 30% คาดว่าในปี 2563 รายได้บริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาท เนื่องจากตลาดรวมจะขยายตัวมากขึ้นโดยมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท
“ลูกค้าหลักเราคือเอกชน 87% รัฐ 13% มั่นใจ 1-2 ปีนี้ความต้องการในส่วนของอาคารสำนักงานจะกลับมาเพิ่มมากขึ้น”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ