สัมภาษณ์
ขณะที่รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานถึง 2 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ภาคเอกชนเกิดการตื่นตัว “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “จรีพร จารุกรสกุล”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ผู้ให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม วางระบบสาธารณูปโภค พลังงาน และดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีบทบาทต่อการเกิดของ EEC
– มุมมองต่อนโยบาย EEC
คิดว่ารัฐเดินมาถูกทางแล้ว เพราะบริเวณที่ตั้งอีอีซี มีอีสเทิร์นซีบอร์ด ถือว่ามีของดีอยู่แล้ว เมื่อเติมแรงจูงใจเข้าไป ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่ม มีการลงทุนโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานมากมาย ทั้งถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ รถไฟรางเดี่ยว รางคู่ รถไฟความเร็วสูง รวมถึงสนามบินอู่ตะเภาจะกลายเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอากาศยาน ขณะที่ทางน้ำมีการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มาบตาพุดเฟส 3 สัตหีบพื้นที่ของทหารเรือก็จะทำเป็นเชิงพาณิชย์ จะเห็นว่าการลงทุนทั้งหมดเชื่อมโยงกัน ถือเป็น The Best of Asian ซึ่งต่างชาติน่าจะสนใจมาลงทุน
– ได้ข่าวว่าไปร่วมกับทหารพัฒนาอู่ตะเภา
เราเข้าไปทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานร่วมกับทหารเรือมา 2 ปีแล้ว ประกอบด้วย 3 กิจกรรมสำคัญ คือ 1.กิจกรรมซ่อมบำรุง (MRO) 2.กิจกรรมผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน (OEM) และ 3.กิจกรรมพัฒนาบุคลากรด้านการบิน (HR) ในกิจกรรม MRO และขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) WHA จะเข้าไปสร้างโรงงานผลิตตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) สร้างศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรการบิน พวก “ซีมูเลเตอร์” เราสร้างอาคารให้เช่า ไม่แตะเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่ข้างใน ตอนนี้มีการแบ่งโซน เราดูไว้ประมาณ 1,000 ไร่ ส่วนระบบสาธารณูปโภค ทั้งระบบน้ำและไฟภายในอู่ตะเภา รวมถึงระบดิจิทัล ทางบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ WHA ได้เข้าไปออกแบบ วางแผน และจัดทำงบประมาณการลงทุน เราทำแผนให้ทั้งหมด เพราะทหารไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้
– พื้นที่นิคมของ WHA ใน EEC มีเท่าไหร่
เรามีพื้นที่ในนิคมทั้งหมด 45,000 ไร่ ขายไปแล้ว 35,000 ไร่ เหลืออีก 10,000 ไร่ นิคมอุตสาหกรรมของ WHA ตอนนี้มีทั้งหมด 8 แห่ง เตรียมจะเปิดอีก 4 แห่ง รวมเป็น 12 แห่ง โดยนิคมแต่ละแห่งมีพื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ อยู่บริเวณ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง เป็นส่วนใหญ่
และเพิ่งเปิดตัวนิคมแห่งใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ในชื่อ “นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 4” (HESIE4) มีที่ดินรวม 3 ล้านตารางเมตร หรือ 1,860 ไร่ โดยบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ คอนติเนนทอล ประเดิมซื้อที่ดินสำหรับสร้างโรงงานผลิตยางรถยนต์นั่งกรีนฟิลด์ มูลค่า 10,000 ล้านบาทไปแล้ว
นิคมฯทั้งใหม่ และเก่ามีแผนลงทุนวางระบบสายไฟเบอร์ออฟติกลงดินทั้งหมดภายในปีนี้ เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต จะได้ไม่ล่ม
นอกจากนี้ เรามีธุรกิจด้านโลจิสติกส์ตั้งอยู่รอบกทม.และปริมณฑล จ.สมุทรปราการ เช่น คลังสินค้าบริเวณบางนากม.18 ถึงกม.23 และแถวแหลมฉบัง เมื่อ EEC เกิดขึ้นธุรกิจของทั้งเครือจะเชื่อมต่อกันทุกเซ็กเตอร์
– แผนการลงทุนในต่างประเทศ
กลุ่มจะเข้าไปลงทุนใน CLMV และอินโดนีเซีย โดยมีโมเดลธุรกิจ 4 กลุ่ม คือ ธุรกิจโลจิสติกส์, นิคมอุตสาหกรรม, สาธารณูปโภคและไฟฟ้า และดิจิทัล การขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศจะพิจารณาตามความเหมาะสม อย่างเมียนมา หลังจากมีโอกาสไปมา ทางรัฐบาลเขาเน้น 2 เรื่อง ได้แก่ พลังงาน และการขนส่ง
เรามีธุรกิจด้านพลังงานที่น่าสนใจ แต่จะไปลงทุนธุรกิจโลจิสติกส์ก่อน เพราะใช้เวลาน้อยกว่า ธุรกิจไฟฟ้า ส่วนนิคมอุตสาหกรรมต้องใช้เวลาหาที่ดิน คนไทยไปลงทุนที่เมียนมาตอนนี้ ทำส่งออกอย่างเดียว เพราะการขนส่งเส้นทางจราจรไม่สะดวก เมียนมายังไม่ได้ทำถนนโครงข่ายเชื่อมต่อ ยังมีปัญหาของชนกลุ่มน้อย
ส่วนเวียดนามเมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเวียดนาม ให้บริษัทดับบลิวเอชเอเหมราช เซียนโก 4 จอยท์ สต็อค ซึ่งกำลังเตรียมจัดตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ดับบลิวเอชเอ เหมราช แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ (เอสจี) จำกัด ในเครือ WHA และบริษัท ซีวิล เอ็นจิเนียริ่ง คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น นัมเบอร์ 4 จอยท์ สต็อค (Cienco 4) เริ่มดำเนินการพัฒนาพื้นที่เฟสแรกของ “ดับบลิวเอชเอ เหมราช อินดัสเตรียล โซน” ในเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมดอง นัม ในจังหวัดเหงะอาน ดำเนินการสร้างนิคมอุตสาหกรรมแบบครบวงจร รวมถึงโซนธุรกิจร้านค้าและที่พักอาศัยที่มีเทคโนโลยีทันสมัย มีระยะเวลาเช่า 70 ปี พื้นที่อุตสาหกรรมเฟสแรกพร้อมเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2560
ส่วนอินโดนีเซีย เข้าไปลงทุนด้านโลจิสติกส์อยู่แล้ว ตอนนี้รัฐบาลอินโดฯ ต้องการตั้งเป้า 3 ปีต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงเป็นหมื่นเมกะวัตต์
ส่วนลาวเข้าไปทำธุรกิจอยู่แล้ว มีโอกาสเข้าไปทำโรงไฟฟ้าเพิ่มและเขาสนใจเรื่องไฮโดพาวเวอร์
– แผนขยายธุรกิจ
เรามีโอกาสขยายธุรกิจน้ำไปให้นิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ทำธุรกิจรีไซเคิลน้ำเป็นอีกธุรกิจที่เรามองว่ามีโอกาส รวมถึงการบริการการบำบัดน้ำเสีย ในอนาคตอาจจะให้บริการน้ำดิบนอกพื้นที่ภาคตะวันออกคล้ายกับที่บริษัทอีสวอเตอร์ได้สิทธิ์ในพื้นที่ภาคตะวันออกเราจะทำครบวงจรเราจะทำพลังงานทดแทน”โซลาร์รูฟ” ลงทุนเองโดยตรง ทุกอย่างจะดำเนินการภายในปีนี้
นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนขยายโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะ ซึ่งปัจจุบัน WHA ได้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 8.63 เมกะวัตต์โดย ร่วมทุนกับชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด บริษัทร่วมทุนในเครือ บมจ.โกลว์ พลังงาน (บริษัทย่อยของเอ็นจี) และสุเอซ มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนธันวาคม 2562
– ผลประกอบการปี 2559
ตอนต้นปี 2559 ตั้งเป้ารายได้ไว้ 17,000 ล้านบาท รายได้ปี 2559 น่าจะเกินเป้า หากเทียบปี 2558 มีรายได้ 12,000 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนประมาณ 5,000 ล้านบาท เท่ากับโตประมาณ 40%
สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของ WHA กรุ๊ป ณ สิ้นปี 2559 มีหนี้สินต่อทุนลดลงมาอยู่ที่ 1.89 เท่า หลังนำ WHAUP เข้าตลาดหลักทรัพย์ ขายหุ้นเก่าบางส่วนแล้ว
สัดส่วนหนี้สินต่อทุนจะลดลงเหลือ 1.3 เท่า สำหรับแผนการลงทุนระยะยาว 5 ปี (2559-2563) ที่ประกาศงบลงทุนไว้ประมาณ 42,000 ล้านบาท เราควบคุมสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 1.3-1.4 เท่า
– การลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน
ตรงนี้ยังไม่ได้มอง เราบอกรัฐบาลเองว่า นิคมอุตสาหกรรมไปเกิดชายแดนไม่น่าสนใจ ถ้าเป็นธุรกิจด้านโลจิสติกส์พอได้ เราเตรียมพร้อมที่ดินบางส่วนไว้แล้ว
ทางเหนือที่ จ.ลำพูน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.ขอนแก่น ทางใต้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อ EEC สมบูรณ์ทั้งหมด ก็ทำเป็นศูนย์โลจิสติกส์ได้หมด
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ