แบงก์กรุงไทยตั้งเป้าสินเชื่อใหม่สนับสนุนลูกค้ารายย่อยปีนี้ 1.1 แสนล้านบาท โต 6% หลังวางระบบคัดกรองลูกค้าเสร็จแยกคุณภาพลูกหนี้สกัดเอ็นพีแอล
อย่างไรก็ตามหลังจากธนาคารลงเครื่องมือเครดิตระบบคัดกรองลูกค้า หรือที่เรียกว่า โลนแฟกตอริง ในช่วงปี 2557-2558 จะเห็นว่าเริ่มเห็นผลจากเครื่องมือดังกล่าวในปี 2558 และในปี 2559 พบว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปรับตัวน้อยลง โดยหนี้เอ็นพีแอลรวมของสินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท แต่พบว่าหนี้เสียที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ถึง 0.01% ส่วนเอ็นพีแอลในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลไม่ถึง 1% ถือว่าเครื่องมือดังกล่าวค่อนข้างประสบความสำเร็จ
ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารได้ปรับวิธีการเติบโตจากเดิมเน้นการขยายตัวค่อนข้างเร็ว ประกอบกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ในปีที่ 3 ของการระยะเวลาการผ่อนชำระเฉลี่ย30ปีจะพบว่าเป็นเอ็นพีแอลค่อนข้างเยอะ ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเอ็นพีแอลสินเชื่อที่อยู่อาศัยเกิดใหม่เพิ่มขึ้น
ดังนั้นภายหลังจากธนาคารวางระบบเครดิตใหม่ รวมถึงปรับระบบพิสูจน์ตัวตน (KYC) ในช่วงครึ่งหลังของปีก่อน ทำให้ธนาคารมีระบบการคัดกรองลูกค้าที่ดีขึ้น เน้นการเติบโตในกลุ่มที่มีศักยภาพ ซึ่งกลยุทธ์ปีนี้ธนาคารจะเข้าไปปล่อยสินเชื่อทั้งรายย่อย และผู้ประกอบการโครงการ
ทั้งนี้จากระบบเครดิตการคัดกรองที่มีคุณภาพ ส่งผลให้ปัจจุบันยอดอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูงอยู่ที่ 70% และสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 75% เนื่องจากเป็นลูกค้าข้าราชการที่มีบัญชีเงินเดือนผ่านธนาคาร (PayRoll) ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่ากลุ่มลูกค้าเอกชนธนาคารยังไม่สามารถสู้กับคู่แข่งในตลาดได้
“ธนาคารเชื่อว่าสินเชื่อรายย่อยมีโอกาสขยายตัวได้ค่อนข้างสูง แต่เราจะต้องศึกษาพฤติกรรมลูกค้าให้ได้ลึกและกว้างขึ้น เพื่อต่อยอดการเติบโต โดยหลังจากมีข้อมูลของลูกค้าจะช่วยการเติบโตได้ค่อนข้างมาก ซึ่งระบบเครดิตโลนแฟคตอริ่งช่วยได้ค่อนข้างมาก แต่ยังไม่สามารถนำไปใช้กับลูกค้าเอสเอ็มอีได้”
นางสาวประราลี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับหนี้เอ็นพีแอลรวมทั้งธนาคารเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 7.1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลง ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ประกอบกับธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีการตัดขายหนี้เสีย หรือตัดหนี้สูญ (ไลน์ออฟ) ทำให้ยอดดูเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามในปีนี้ธนาคารคาดว่าการตั้งสำรองจะอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากเดิมเฉลี่ย 1,000 ล้านบาท เป็น 1,200 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง และเป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องการเห็น โดยธนาคารจะทยอยเพิ่มอัตราความพอเพียงของเงินกองทุนด้วย โดยส่วนที่ธนาคารตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ 2.6 หมื่นล้านบาท
นางนพวรรณ เจิมหรรษา รองกรรมการผู้จัดการบมจ.ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจรายย่อยปีนี้ธนาคารตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 5-7% จากยอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 3.74 แสนล้านบาท โดยการเติบโตจะมาจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยและธุรกิจบัตรเครดิต ทั้งนี้ธนาคารประเมินความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงขยายตัวต่อเนื่องไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งธนาคารตั้งเป้าเติบโต 5-7% จากยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างอยู่ที่2.7 แสนล้านบาท ในปีนี้จะเน้นการเติบโตในกรุงเทพฯและจังหวัดยุทธศาสตร์ตามหัวเมืองใหญ่ เช่น อุดรธานีพัทยา เชียงใหม่ เป็นต้น
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจบัตรเครดิตตั้งเป้าเติบโตยอดคงค้าง 4-6% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 8.3 หมื่นล้านบาทและตั้งเป้าเติบโตยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต (Spending)อยู่ที่ 12% หรือประมาณ 3.9แสนล้านบาท โดยเน้นการตอบโจทย์ลูกค้าเป็นหลักส่วนกลุ่มเป้าหมายยังคงเน้นกลุ่มที่มีรายได้ประจำโดยกลุ่มที่ยังขยายตัวได้ดีจะเป็นกลุ่มระดับบนที่มียอดใช้จ่ายค่อนข้างสูงและมียอดชำระเต็ม
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ