“เบสทรินกรุ๊ป” ผนึกกลุ่มเซี่ยงไฮ้ ซันลอง บัส โชว์ศักยภาพผลิตรถเมล์เอ็นจีวี ล่าสุดขน 100 คันจากจีนจ่อท่าเรือแหลมฉบังพร้อมให้บริการ 22 ธค.นี้
สำหรับรถโดยสารซันลอง เป็นรถที่ถูกพัฒนาและสร้างมาสำหรับประเทศไทยมากกว่า 10 ปีจึงมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเหมาะกับสภาพอากาศและถนนของประเทศไทย ซึ่งโดยรถโดยสาร 489 คันล็อตนี้ได้ถูกกำหนดสเป็กไว้อย่างยอดเยี่ยมมีจุดเด่นหลายอย่างที่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่สูงมาก เริ่มต้นที่ตัวรถจะเป็นสีฟ้าสะอาดสดใสสะดุดตาเป็นรถปรับอากาศชั้นเดียวไม่มีบันได (no step bus) ขนาด 2 เพลา 4 ล้อ (ยาง 6 เส้น) ยาวขนาด 12 เมตร มีการจัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการบนรถโดยสาร มีประตูทางเข้า-ออกทางด้านซ้ายสำหรับผู้โดยสาร 2 ประตู บริเวณด้านหน้าและตรงกลาง โดยประตูรถบริเวณตรงกลางรถให้มีความกว้างสุทธิไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร ไม่มีเสาหรือสิ่งกีดขวางการขึ้น-ลงของผู้โดยสารพิการ และต้องมีแสงสว่างพอสำหรับการใช้งานกลางคืน
นอกจากนั้นยังติดตั้งทางลาดที่มีลักษณะขนาดคุณสมบัติตามที่กำหนดความกว้างไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร โดยเมื่อวางเทียบกับทางเท้าต้องมีความลาดชันไม่เกินกว่า 1 ต่อ 8 ในแนวตั้งต่อแนวราบ และกรณีที่วางเทียบระดับพื้นดินต้องมีความลาดชันไม่เกิน1 ต่อ 3ในแนวตั้งต่อแนวราบโดยต้องรองรับน้ำหนักคนพิการและรถคนพิการได้อย่างปลอดภัยเมื่อใช้งาน
จัดให้มีพื้นที่จอดเก้าอี้เข็นคนพิการอย่างน้อย 2 จุดที่อยู่ใกล้บริเวณประตูตรงกลางรถ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์สำหรับยึดตรึงเก้าอี้เข็นคนพิการเพื่อป้องกันการลื่นไถล โดยติดตั้งกริ่งสัญญาณหยุดรถภายในบริเวณที่นั่งสำหรับคนพิการ ติดสัญลักษณ์คนพิการตามที่กฏหมายกำหนดภายในรถมีที่นั่งไม่น้อยกว่า 35 ที่นั่ง (รวมที่นั่งสำหรับคนพิการชนิดพับเก็บได้ 2 ที่นั่ง) ราวจับผู้โดยสารยืนไม่น้อยกว่า 60 คน ระบบเกียร์อัตโนมัติจัดเตรียมพื้นที่ระบบสายไฟ สายสัญญาณและช่องต่อสายไฟสัญญาณเพื่อรองรับการต่อเชื่อมสำหรับติดตั้งระบบ e-ticket บริเวณทางขึ้นด้านหน้าและตรงกลางของรถโดยสาร
“ที่พิเศษคือภายในรถมีสัญญาณ Wi-Fi บริการผู้โดยสารทุกคัน แถมด้วยจอแอลอีดีบอกป้ายเส้นทาง และเพื่อความปลอดภัยสูงสุดมีเครื่องหน่วงความเร็วด้วยไฟฟ้าเพิ่มศักยภาพในการหยุดรถ ดังนั้นจึงอยากให้ชาวกรุงเทพฯมั่นใจได้ว่าจะได้นั่งรถโดยสารโฉมใหม่ ซึ่งนายสุระชัย เอี่มวชิรสกุล ผู้อำนวยการขสมก.เตรียมนำออกให้บริการประชาชนเส้นทางรอบพระบรมมหาราชวังจำนวน 8 คันในวันที่ 22 ธันวาคมนี้”
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ