หวั่นรัฐเก็บภาษีได้น้อย “แอเรีย” แจงมีบ้านราคาเกิน 50 ล้านบาทในตลาดเพียง 1,351 ยูนิต
“อสังหาฯ”ติงเว้นภาษีบ้านและที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท ฐาน แคบเกินไป รัฐอาจไม่ได้ประโยชน์ เหตุมีบ้านราคาเกิน 50 ล้านบาทจำนวนน้อย แนะควรเริ่มต้นเก็บภาษีบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป ดันที่ดินออกมาสู่ตลาดมากขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดาพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวถึงการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายในวันนี้ว่า เห็นด้วยใน หลักการเพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดการ เหลื่อมล้ำในสังคม รวมทั้งจะทำให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ถูกนำออกมาพัฒนาเชิงพาณิชย์มากขึ้น ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะตามเกณฑ์การเสียภาษีฯใหม่ตามที่เป็นข่าว หากปล่อยที่ดินรกร้างว่างเปล่า เพราะต้องเสียภาษีที่เพดานสูงสุด 5%
“ต่อไปผู้ที่มีที่ดินจะไม่ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า ทำให้มีที่ดินออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะต้องเสียภาษีเพดานสูงสุด 5% แต่หากเป็นที่ดินเพื่อการเกษตร จะมีเพดานการเสียภาษี 0.2% ทำให้ที่ดินได้ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้น แต่เห็นว่ารัฐควรยกเว้นการเก็บภาษี สำหรับที่ดินที่นำไปให้ท้องถิ่นทำประโยชน์ในเชิงสังคม เช่น ทำลานกิจกรรม ออกกำลังกาย ซิตี้พาร์ค ในช่วงเวลา 7-10 ปี เป็นต้น”
อย่างไรก็ตาม เห็นว่า ฐานการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามที่ปรากฏเป็นข่าว กำหนดออกมาแคบเกินไป โดยเฉพาะการยกเว้นภาษีสำหรับบ้านหลังแรก ที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท และยกเว้นภาษีให้กับที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท เนื่องจากบางท้องถิ่น บ้านและที่ดินรวม สิ่งปลูกสร้าง ที่มีราคาเกินกว่า 50 ล้านบาท อาจจะ ไม่มีเลย ทำให้รัฐเก็บภาษีไม่ได้ โดยเห็นว่า รัฐควรกำหนดฐานภาษีที่กว้างมากกว่านี้ อาจเริ่มต้น ที่บ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งบ้านราคานี้ปัจจุบันก็หาได้ยากแล้วเช่นกัน
“รัฐบาลอาจจะกังวลในเรื่องที่เคยถูกต่อต้าน ทำให้กำหนดฐานภาษีออกมาแคบเกินไป จริงๆ สามารถทำให้ฐานภาษีกว้างกว่านี้ได้ อาจจะคิดเป็นตารางวา หรือมูลค่า ไม่จำเป็นต้องกำหนดราคากว้างถึง 50 ล้านบาท การที่ยกเว้นภาษีระดับหนึ่ง ผู้มีรายได้น้อย -กลางไม่กระทบก็ถือว่าเป็นประโยชน์” นายอิสระ กล่าว
ด้านนายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษาสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า การปรับอัตราจัดเก็บภาษีที่ดินเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่มี เพดานภาษี 2% ของมูลค่าที่ดิน มองว่าเป็น การเรียกเก็บที่ไม่เหมาะสม อาทิ โรงแรมหนึ่งโครงการมีมูลค่าเป็นพันล้าน ต้องเสียภาษีเป็นหลักสิบล้าน เป็นการจ่ายภาษีที่สูงเกินไป
“ผมเคยลองคำนวณ หากเก็บภาษีตามนี้ ในส่วนโรงแรมจะต้องเพิ่มค่าเช่าประมาณ 1,000 บาทต่อห้อง ซึ่งจะกระทบกับผู้บริโภคโดยตรง จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาในส่วนนี้ เพราะเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก หากโรงแรมมีค่าเช่าแพงขึ้น ก็จะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้”
ขณะเดียวกัน เห็นด้วยกับสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ที่มีข้อเสนอต่อรัฐบาล ให้ยกเว้นภาษีที่ดินของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เป็นเวลา 3 ปี เนื่องจากมองว่า ที่ดินที่ผู้ประกอบการถือครอง เป็นที่ดินที่ถือครองไว้เพื่อพัฒนาโครงการ ไม่ใช่การถือครองระยะยาว มองว่า การเก็บภาษีที่ดินในรูปแบบใหม่นี้ จะเป็นการเพิ่มต้นทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะมีผลกระทบต่อผู้บริโภค จะต้องมารับภาระในส่วนนี้ด้วย จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาให้รอบด้าน
ในส่วนกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับข้อยกเว้นเรื่องส่วนกลางของบ้านจัดสรร หรืออาคารชุด มองว่า ไม่ควรเก็บภาษีเพิ่มเติมจากส่วนนี้ เพราะจะเป็นการเก็บซ้ำซ้อน เพราะผู้อาศัยต้องจ่ายค่าส่วนกลางอยู่แล้ว และมองว่า หากอาคารหรือที่อยู่อาศัยไม่มีส่วนกลาง ก็จะขายโครงการไม่ได้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม และมองว่าเป็นการลดมูลค่าโครงการลงไปด้วย
ขณะที่ นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) กล่าวว่าการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เฉพาะบ้านที่มีราคาเกินกว่า 50 ล้านบาท และบ้านหลังที่ 2 หรือมากกว่านั้น โดยบ้าน ที่มีราคาต่ำกว่า 50 ล้านบาทจะได้รับการ ยกเว้นไม่เก็บภาษี จากฐานข้อมูลของ ศูนย์ฯที่เก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 2537 หรือ 22 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีบ้านที่มีราคาเกิน 50 ล้านบาทในตลาดอยู่เพียง 1,351 ยูนิต แยกเป็นบ้านเดี่ยว 572 ยูนิต คอนโดมิเนียม 764 ยูนิต และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม จำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงเวลาดังกล่าว มี 1,8490,789 ยูนิต เท่ากับมีบ้านราคาเกิน 50 ล้านบาทเพียง 0.007% เท่านั้น การจัดเก็บอาจมีต้นทุนมากกว่าภาษีที่จัดเก็บได้ ยิ่งกว่านั้น หากคิดตามราคาประเมินทางราชการ ที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง ก็อาจเหลือบ้านราคาเกิน 50 ล้านบาท อยู่น้อยกว่านี้อีก
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ