นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. เตรียมออกบัตรเติมเงินให้ลูกค้า สินเชื่อ เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินค่างวดตามข้อตกลงในสัญญา โดยไม่ต้องมารอต่อคิวเพื่อจ่ายเงินที่สาขา ซึ่งลูกค้าที่ถือบัตรเติมเงินสามารถนำเงินมาใส่ในบัตร ในช่วงแรกให้ใส่ได้ที่เคาน์เตอร์ของทุกสาขาของธนาคารก่อน หลังจากนั้นจะพัฒนาระบบให้สามารถเติมเงินได้ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสต่างๆ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการเตรียมทำสัญญาข้อตกลง หรือ ทีโออาร์ กับบริษัทที่ทำธุรกิจด้านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์อยู่
“ลูกค้าจะสะดวกมากขึ้นเพราะสามารถเติมเงินในบัตรรอไว้ก่อนได้ พอถึงกำหนดจ่ายค่างวดระบบจะตัดเงินจากบัตรไม่ต้องเสียเวลามานั่งรอจ่ายบิลที่สาขา เมื่อระบบตัดบัญชีแล้วจะมีไลน์แจ้งบอกยอดที่โอนไปทางโทรศัพท์ และหลังจากนั้น 3-5 วัน ทางธนาคารจะส่งใบเสร็จรับเงินไปทางไปรษณีย์ให้ลูกค้า และเนื่องจาก พ.ร.บ.ของธนาคารยังไม่เปิดกว้างให้ออกบัตรได้เอง ธนาคารจึงต้องให้เอกชนเข้ามาทำเรื่องนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น แรบบิท การ์ด ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้” นายฉัตรชัยกล่าว
นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า การพัฒนา ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบไอทีเพื่อรองรับสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งจะมีการพัฒนาระบบคอร์แบงก์กิ้ง รวมถึงการพัฒนาระบบอินเตอร์เนตแบงก์กิ้ง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนนโยบายการพัฒนาระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรืออีเพย์เม้นท์
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าวว่าธนาคารออมสินเตรียมจะออกบัตรพีเพิ่ล การ์ด ให้กับกลุ่มประชาชนฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินมากขึ้น โดยเงื่อนไขผู้ที่ขอใช้บริการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ต่อเดือน สามารถกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มได้ทันที มีวงเงินไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ ไม่ต้องมีหลักประกัน คาดว่าเริ่มออกบัตรได้ภายใน 3 เดือนจากนี้
นอกจากนี้ในช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้า ธนาคาร ออมสิน และทุกสถาบันการเงิน จะออกบัตรแคชการ์ด เป็นบัตรเติมเงินที่ไม่ต้องมีการเปิดบัญชี เพียงแต่ลง ทะเบียนเพื่อทำประวัติ โดยจะเป็นบัตรใช้ชำระค่าบริการโดยสารต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า เรือ รถเมล์ เพิ่มความ สะดวกแก่ประชาชน และเพื่อรองรับสวัสดิการของรัฐบาลในอนาคต แต่มีข้อจำกัดซื้อสินค้าไม่ได้ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รวมทั้งเตรียมให้ความรู้ทางเงินกับประชาชนชาว ฐานราก เพื่อให้รองรับนโยบายการพัฒนาระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเพย์เม้นท์
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการซื้อสินค้าและบริการผ่านบัตรทั้งระบบมียอดทั้งหมด 1.6 แสนล้านบาทต่อเดือน เป็นผ่านบัตรเดรดิต 93% จากทั้งหมด 19 ล้านใบ และบัตรเดบิต 7% จากทั้งหมด 46 ล้านใบ ส่วนการเบิกเงินผ่านตู้เอทีเอ็มมียอดการใช้บริการราว 1.06 ล้านบาทต่อเดือน