“อธิบดีกรมศุลกากร”หนุนเอกชนตั้ง เขตปลอดอากรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ระบุได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆน้อยลงมากแล้ว เชื่อจะจูงใจให้เอกชนมาลงทุนได้เพิ่มขึ้น
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ได้ออกประกาศกรมศุลกากร ช่วงปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ในการขอ ใบอนุญาตเขตปลอดอากร ได้แก้ไขข้อกำหนดให้ต่างจากเดิมในปี 2546 เนื่องจากที่ผ่านมา ภาคเอกชนรายใดมาขอใบอนุญาต จะพิจารณาให้ตามคำขออนุญาต จึงทำให้กระจายไปทั่ว ไม่เป็นหมวดหมู่
ดังนั้น จึงร่างประกาศใหม่กำหนดให้เขตปลอดอากร ต้องตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และต้องประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น นวัตกรรม อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมซูเปอร์คลัสเตอร์ใน กลุ่มเป้าหมายใหม่เช่นอุตสาหกรรมการบิน หุ่นยนต์ สุขภาพ ไบโอชีวภาพ เพื่อต้องการ ส่งเสริมให้เอกชน และหากนิติบุคคลมา จดทะเบียนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะลดขนาดมูลค่าการจดทะเบียนจาก 50 ล้านบาท เหลือ 10 ล้านบาท
การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เดินหน้า ไปหลายพื้นที่ โดยปรับปรุงพื้นที่ด่านศุลกากร สำนักงานรองรับพื้นที่ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น ด่านสะเดา เร่งพัฒนาพื้นที่ 1,000 ไร่ รองรับ ผู้ประกอบการเข้าไปตั้งโรงงานในเขต อุตสาหกรรม ขณะนี้เตรียมเปิดประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้าง ส่วนเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ได้เริ่มเจรจากับประชาชน เพื่อจ่ายชดเชยให้กับประชาชนในพื้นที่ และสร้างอาการสำนักงานศุลกากรแม่สอด ส่วนภาคตะวันออกทั้ง อ.อรัญประเทศ และคลองใหญ่
“ต้องหาข้อยุติร่วมกับกัมพูชา เพื่อต้องกัมพูชามีความพร้อมในการพัฒนาร่วมกัน เมื่อภาคเอกชนเข้าไปตั้งอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ดังกล่าว จะต้องใช้ระบบไร้เอกสาร การเชื่อมโยงข้อมูลการผลิต การส่งออก นำเข้าสินค้า กับกรมศุลกากรอย่างเป็นระบบ”
ส่วนกรณีบริษัท ล็อตเต้ เกาหลี ยื่นขอใบอนุญาตประกอบการร้านปลอดอากร โดยผู้ประกอบการต้องหารือร่วมกับบริษัท ทอท. ในการหาพื้นที่เหมาะสม ตั้งจุดส่งมอบสินค้า จึงจะพิจารณาจัดสรรให้
“ยอมรับว่า พื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ยังมีสัญญาสัมปทานรองรับอยู่ โดยบริษัท คิงเพาเวอร์ เหลือเวลาอีก 4 ปี หากเป็นสนามบิน เชียงใหม่ และภูเก็ต สามารถนำพื้นที่เหมาะสมเสนอมาให้กรมศุลกากรพิจารณา เพื่อจัดสรรพื้นที่ส่งมอบสินค้าให้กับเอกชนผู้มีใบอนุญาตได้ และเป็นสนามบินที่กำลังได้รับความนิยมจากต่างชาติ” การจัดหาพื้นที่เพื่อเป็นจุดรับส่งสินค้าปลอดอากร ให้แก่ภาคเอกชน เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่จะเป็นผู้จัดหา และส่งเรื่อง มาให้กรมศุลกากรพิจารณาความเหมาะสม ในการอนุมัติ ดังนั้นการจัดหาพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่ใช่หน้าที่ของกรมศุลกากร
“การขอพื้นที่เป็นจุดรับส่งสินค้า ปลอดอากรในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการ ไม่ใช่เราจัดหาพื้นที่ กรณีนี้ ต้องเป็นผู้ประกอบการกับเจ้าของพื้นที่ ตกลงกัน”
กรณีการขอพื้นที่ในสนามบิน สุวรรณภูมิเพื่อเป็นจุดส่งมอบสินค้านั้น เท่าที่ดู ผู้ประกอบการที่ทำอยู่เดิม มีสัญญาระหว่างกันกับเจ้าของพื้นที่ ซึ่งคือการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมาแล้ว 9 ปี และยังเหลือสัญญา อีก 4 ปีจึงจะหมด ดังนั้นเมื่อสัญญาทำมาอย่างถูกต้อง ภาครัฐก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง
“ผมพูดมาตลอดต้องดูให้เป็นธรรม ถ้าสัญญาถูกต้องทำมาแล้ว ถ้าเรากำลังโปรโมทให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถ้า คัดเลือกนักลงทุนได้แล้ว วันดีคืนดี รัฐไป แทรกแซงก็ไม่เหมาะสม การทำอะไร ต้องดูให้เป็นธรรมในแง่สัญญาที่ให้ไว้กับนักลงทุนด้วย”
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ