บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดดำเนินการมายาวนานแสดงความมั่นใจในตลาดโดยเห็นว่าเรียลดีมานด์ยังมีความแข็งแกร่ง ล่าสุดตอบรับโค้งสุดท้ายมาตรการรัฐที่ต้องการกระตุ้นภาคประชาชนด้วยการเปิดเตรียมเปิดโครงการใหม่โซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก รวมมูลค่าโครงการ 1,400 ล้าน
ชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ฯ โดยมั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่ยังทรงตัวระดับต่ำ และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐขณะเดียวกันความคืบหน้าโครงการบ้านประชารัฐจะมีส่วนช่วยหนุนให้บรรยากาศโดยภาพรวม และความเชื่อมั่นของผู้ที่ต้องการซื้อบ้านกลับมาคึกคักยิ่งขึ้น
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก และจังหวัดนนทบุรี ยังคงมีความน่าสนใจ เนื่องจาก เร็วๆ นี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ เตรียมที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมนี้ อีกทั้งยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ที่จะช่วยดึงผู้คนให้เข้ามาในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพื้นที่ดังกล่าวยังเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเพราะอยู่ในโซนสีเขียว ปลอดโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 (มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จะทำให้ทำเลนนทบุรีสามารถเชื่อมต่อกรุงเทพฯ ส่วนในและต่างจังหวัดต่อเนื่องไปจังหวัดกาญจนบุรี-เมืองทวาย ประเทศพม่า ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ทำเลนี้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของเมืองนนทบุรีในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เปิดโครงการโดยรอบพื้นที่ดังกล่าว และอยู่ระหว่างการเปิดขายมูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท มีจำนวน 900 ยูนิต ครอบคลุมโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแนวคิดใหม่ และทาวน์โฮม ประกอบด้วย แลนซีโอ คริป ปิ่นเกล้า – พระราม 5 (ซ.วัดพระเงิน) ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 68 ไร่ แลนซีโอ คริป รัตนาธิเบศร์ – ท่าอิฐโครงการบ้านใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีท่าอิฐ) มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 15 ไร่ บ้านลลิล รัตนาธิเบศร์ – เวสต์เกต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 90 ไร่ ไลโอ รัตนาธิเบศร์ – เวสต์เกต โครงการทาวน์โฮม มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 14 ไร่ ไอโอ นอฟ วงแหวนฯ-ปิ่นเกล้ามูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 26 ไร่ นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เปิดขายก่อนหน้านั้นอีก 4 โครงการ กว่าพันยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,700 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกปี 2559 ชูรัชฏ์ กล่าวว่า ได้รับอานิสงศ์อย่างยิ่งจากแรงกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่เร็วขึ้นจากมาตรการภาครัฐ ทั้งการเพิ่มวงเงินกู้ ลดหย่อนภาษีเงินได้ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 0.01% เป็นผลบวกต่อโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอน รวมทั้งหนุนให้บรรยากาศโดยรวมของภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวได้อย่างชัดเจน และมีผลทำให้ผลประกอบการเติบโตกว่า 20% สูงกว่าเป้าหมายของปีนี้ที่ตั้งไว้ 15% หรือมียอดขายสิ้นปี 2,800 ล้านบาท และรับรู้รายได้ที่ 2,400 ล้านบาท
ที่มา : LEADER TIME