กรมธนารักษ์เดินเครื่องสร้างบ้านประชารัฐปีนี้ ประเดิมสร้างคอนโดฯ ที่ย่านวัดไผ่ตัน ธอส.รับหน้า เป็นแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการ และปล่อยกู้ให้ กับผู้ซื้อโดยขอเฟ้นลูกค้าเองป้องกันปัญหาหนี้เสียในอนาคต
นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์อยู่ระหว่างจัดหาที่ราชพัสดุมาสร้างอสังหาริมทรัพย์ราคาถูกให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย หรือโครงการบ้านประชารัฐ โดยเบื้องต้น มีที่ราชพัสดุอยู่ 6 แปลง ประกอบด้วย บริเวณ วัดไผ่ตัน ที่จะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในปี 2559 นี้ โรงกษาปณ์เก่า ถนนประดิพัทธ์ เชียงใหม่บนเนื้อที่ 9 ไร่ ชะอำ 2 แปลง เชียงรายใกล้บ้านผู้สูงอายุ คาดว่าทั้ง 6 พื้นที่นี้จะได้ราว 3,400 ยูนิต และน่าจะสรุปได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้
สำหรับราคาบ้านยังคงเป็นไปตามกำหนดเดิมคือไม่เกิน 5 แสนบาทต่อยูนิต บ้านเดี่ยวไม่เกิน 7 แสนบาทต่อยูนิตคาดว่า เอกชนจะยอมรับได้ ส่วนกรมสรรพากรและสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) จะพิจารณาการลดหย่อนภาษี สิทธิประโยชน์ให้ ผู้ประกอบการ ส่วนเกณฑ์รายได้ผู้มีสิทธิ์สศค.กำหนดให้มีรายได้สุทธิไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน การเคหะแห่งชาติกำหนดรายได้ไม่เกิน 2.2 หมื่นบาทต่อเดือน ขณะที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)ให้รายได้ไม่เกิน 2.4 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการเช่าระยะยาวทำให้ต้องมาหารือเพื่อหาข้อสรุปกันอีกครั้ง
ขณะที่รูปแบบการขายคาดว่ามี 3 รูปแบบ แยกเป็นกรณีก่อสร้างบนที่ราชพัสดุ ของกรมธนารักษ์ จะให้เช่าเซ้งแบบอยู่ได้ยาว 30 ปี แต่ทาง รมว.คลัง เสนอว่าให้ไปศึกษาเรื่องรูปแบบเช่าระยะสั้น เหมือนประเทศจีน และฮ่องกง ที่จะผู้บริหารโครงการค่อยดูเรื่องรายได้ และทรัพย์สินของผู้เช่า หากเกินหรือเริ่มมีรายได้หรือทรัพย์สินสูงกว่า เกณฑ์ก็จะต้องย้ายออกไปเพื่อเปิดทางให้ผู้มีรายได้น้อยคนอื่นได้เข้ามาอยู่อาศัย หรือกรณีข้าราชการ ต้องกำหนดว่าเมื่อได้เลื่อนขั้นถึงระดับที่กำหนดก็ต้องออกไปหาบ้านที่อื่นอยู่ และห้ามขายเปลี่ยนมือ เพราะเกรงว่าจะซ้ำรอยกรณีแฟลตดินแดงที่ให้สิทธิ์เช่าระยะยาว เมื่อได้สิทธิ์แล้วก็ขายเปลี่ยนมือ
ส่วนกรณีที่มีการก่อสร้างบนพื้นที่ของเอกชน ใช้ให้วิธีสร้างแล้วขายขาดเลย แต่ สศค. ต้องการให้ เอกชน ตั้งทีมบริหารโครงการต่อไป เหมือนเป็นกิจการ เพื่อสังคม เพื่อดูแลเรื่องการเก็บค่าเช่ารายเดือน ทำหน้าที่เหมือนนิติบุคคลดูแลความเรียบร้อยของโครงการตลอดไป เพราะเกรงว่าผู้มีรายได้น้อยจะมีปัญหาเรื่องการผ่อนค่าเช่าที่ไม่ตรงเวลา แต่เอกชนเสนอว่าต้องการทำโครงการแบบขายขาด แล้วให้ ผู้ที่ซื้อหรือเช่าบ้านไปจัดตั้งนิติบุคคลกันเอง
สำหรับเรื่องแหล่งที่มาของเงินทั้งการปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการเพื่อก่อสร้างบ้าน หรือคอนโดฯ และการปล่อยกู้ให้ผู้มีรายได้น้อยซื้อบ้านหรือคอนโดฯนั้นธอส. เสนอจะดูแลทั้งหมด โดยในส่วนของการปล่อยกู้ให้ผู้มีรายได้น้อยธอส. จะคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติ มีอาชีพ มีรายได้ที่แน่นอนเพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสีย
“รูปแบบก่อสร้างต้องให้ภาคเอกชนกำหนดว่าจะสร้างเชิงราบ หรือสูง เพราะที่ราชพัสดุเกือบทั้งหมดติดข้อกฎหมายเรื่องการสร้างอาคารสูงมากไม่ได้เพราะเป็นที่สีน้ำเงินยกตัวอย่างกรณีที่ดินตรง วัดไผ่ตันถ้าจะสร้างเป็นอาคารชุด หรือคอนโดฯก็คงจะสร้างได้ไม่กี่ชั้น หากตกลงกันได้ก็จะเริ่มตอกเสาเข็มภายในปี’59 เพื่อสร้างที่นี้เป็นโมเดล แห่งแรก ซึ่งกำหนดขนาดพื้นที่ใช้สอยกรณีสร้างเป็นห้องชุด หรือคอนโด จะไม่เกิน 23 ตร.ม. แต่ถ้ากรณีที่เชียงใหม่ เชียงราย อาจสร้างเป็นบ้านเดี่ยวมีเนื้อที่ไม่เกิน 70 ตร.ม.” นายจักรกฤศฎิ์ กล่าว
ส่วนความคืบหน้าโอนที่ย่านมักกะสันใช้หนี้ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) คิดเป็น 6.1 หมื่นล้านบาท จากจำนวนหนี้ ทั้งหมด 1.2 แสนล้านบาทนั้นได้หารือกับ ร.ฟ.ท. เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับ การโอนในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งร.ฟ.ท.ต้องดำเนินการให้ได้ตามกำหนด โดยในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ จะนัดหารือรายละเอียดการส่งมอบอีกครั้ง
ที่เบื้องต้นพื้นที่ที่ดำเนินการโอนได้ในปี 2559 คือ บริเวณสถานีมักกะสัน รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิ้งค์ สถานีอู่ซ่อม เนื่องจากสถานีอู่ซ่อมของ ร.ฟ.ท.มี 4 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ภายใน 2 ปีที่ต้องส่งมอบสามารถบริหารจัดการไปซ่อมที่อื่นได้จากเดิมที่กำหนดส่งภายใน 5 ปี รวมถึงพิพิธภัณฑ์ พื้นที่สีเขียวที่อาจย้ายไปอยู่หัวลำโพง ซึ่งจะส่งผลให้รวดเร็วมากขึ้น