เมียนมาอยู่ระหว่างการร่างแผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 2 ระยะเวลา 5 ปีที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ และภาคเอกชน ในความพยายามที่จะรับประกันถึงผลผลิตท้องถิ่นที่เพิ่มมากขึ้น ผ่านกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรม
ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ผู้นำคนปัจจุบัน ให้คำแนะนำต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการโครงการเมียนมา (เอ็มพีซี) ในกรุงเนย์ปิดอว์ว่า แผนพัฒนาฉบับที่ 2 นี้ จะถูกนำไปใช้ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ ที่คาดว่าจะเริ่มต้น ในเดือนเม.ย. 2559 ซึ่งเป็นปีงบประมาณใหม่ โดยแผนงานนี้ จะเน้นถึงการตระหนักในเรื่องการจับมือเป็นพันธมิตรกันระหว่างภาครัฐ กับภาคเอกชน เพื่อให้บรรลุเป้า การพัฒนาอย่างมีเสถียรภาพ ในด้านต่างๆ รวมถึง สาธารณสุข การศึกษา และไฟฟ้า
ใช้แผนเดิมเป็นฐานสร้างใหม่
ผู้นำเมียนมาบอกด้วยว่า แผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 2 และแผนพัฒนาครอบคลุมแห่งชาติ (เอ็นซีดีพี) ระยะ 20 ปี ระหว่าง ปี 2554 – 2574 จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกรอบการทำงาน ให้กับโครงการในอนาคต
ในแผนพัฒนาฉบับแรกระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2554 – 2559 นั้น เอ็มพีซีได้ให้ความสำคัญอันดับต้นๆ ต่อความจำเป็น ขั้นพื้นฐาน อย่างอาหาร เสื้อผ้า และที่พักอาศัย เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ซึ่งนายเต็ง เส่ง ได้ย้ำถึง ความจำเป็นที่จะต้องดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ให้ลุล่วง ในระยะเวลาที่ยังเหลืออีก 3 เดือน ของแผนพัฒนาฉบับแรกนี้ ที่จะสิ้นสุดในปีงบประมาณปัจจุบัน ในเดือนก.พ.ปีหน้า และเป็นเวลาเดียวกับที่รัฐบาลชุดปัจจุบันดำรงตำแหน่งครบวาระ
แผนพัฒนาเอ็นซีดีพี ระยะเวลา 20 ปีนั้น กำหนดกรอบการดำเนินงานโดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้การร่วมมือกับโครงการเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งอาเซียน และเอเชียตะวันออก (อีอาร์ไอเอ) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ให้ถึง 180,000 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มรายได้ต่อหัวประชากรให้ถึง 3,000 ดอลลาร์ ภายในปีงบประมาณ 2573
แนะพัฒนาอุตสาหกรรม
ทางด้านนายหม่อง หม่อง เล รองประธาน ยูเอ็มเอฟซีซีไอ องค์กรธุรกิจท้องถิ่น แสดงความเห็นว่า แผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 2 นี้ น่าจะมุ่งเน้นไปยังภาคอุตสาหกรรม หลังการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ยังไม่เป็น ไปตามเป้า และยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก เพื่อการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม
“ในช่วง 5 ปีแรกนั้น ความสำเร็จยังมี อยู่น้อยมาก ยังไม่มีการปรับปรุงในเรื่องนโยบาย และจนถึงขณะนี้ ก็มีกฎหมายสำหรับธุรกิจขนาดกลาง และย่อมออกมาเท่านั้น”
เขายังบอกด้วยว่า แผนการใหม่นี้ จะช่วย ให้ประเทศเร่งการขยายตัวของจีดีพี และช่วยให้การทำธุรกิจดำเนินไปอย่างสะดวกสบายมากขึ้น
ทั้งนี้ ภาคการผลิตถือเป็นแหล่งลงทุนขนาดใหญ่อันดับ 3 ที่เมียนมาอนุมัติให้มี การเข้าลงทุนเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่มีอนุมัติโครงการมูลค่าสูงด้านการผลิตน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ควบคู่ไปกับโครงการสื่อสาร และขนส่ง เพียงไม่กี่รายเท่านั้น โดยเมื่อ ปีที่แล้ว ทางการได้อนุมัติโครงการลงทุน ในภาคการผลิตคิดเป็นมูลค่าโดยรวมที่ 1,500 ล้านดอลลาร์ จากยอดรวมการลงทุนทั้งหมดที่ราว 8,000 ล้านดอลลาร์
ระหว่างเดือนเม.ย. – ส.ค.ที่ผ่านมา เมียนมาอนุมัติโครงการลงทุนในภาคการผลิตไปแล้ว 66 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 429 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงกว่า ทุกภาคธุรกิจ ไม่รวม 10 โครงการด้านน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ที่มีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์
จี้เพิ่มสัดส่วนอุตฯ ในจีดีพี
นายหม่อง หม่อง เล ชี้ว่า มูลค่าของอุตสาหกรรม ในจีดีพี ควรจะสัดส่วนสูงกว่า 40% เพื่อช่วยส่งเสริมการพัฒนาประเทศ โดยในปัจจุบัน อุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของจีดีพีโดยรวมของเมียนมา
นอกจากนี้ เขายังมองว่า เป็นเรื่องสำคัญ ที่อุตสาหกรรมท้องถิ่นจะต้องมีความเข้มแข็ง เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศมากขึ้น เมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เปิดตัว ขึ้นอย่างเป็นทางการในสิ้นปีนี้
ขณะที่นายคูโด โตชิฮิโระ นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมียนมา จากสถาบันเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แห่งองค์กรการค้าภายนอกประเทศญี่ปุ่น แสดงความเห็นว่า แผนพัฒนาฉบับใหม่ของเมียนมา น่าจะ ร่างขึ้น โดยยึดถือฉบับเก่าเป็นพื้นฐาน
“แผนพัฒนา 5 ปีฉบับใหม่ที่จะออกมา น่าจะร่างขึ้นมา บนพื้นฐานของเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่ง ซึ่งถ้าหากไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน อย่าง ไฟฟ้า และระบบขนส่ง ก็จะไม่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และถ้าไม่มีทรัพยากรมนุษย์ ก็จะไม่มีพื่นฐานเช่นเดียวกัน”
นักวิจัยรายนี้ เสริมด้วยว่า การจัดทำแผนพัฒนาฉบับใหม่ดังกล่าว ควรต้องมี การลงมือทำงานในภาคสนาม เพื่อสังเกตการณ์อุตสาหกรรมขนาดกลาง และเล็ก รวมถึง การทำงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
ตั้งเขตศก.พิเศษแห่งใหม่
การจัดประชุมเอ็มพีซีครั้งนี้ ยังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่ทางการมีการกำหนดพื้นที่ราว 17.37 ตารางกิโลเมตร ในเมือง จ๊อกเพียว รัฐยะขิ่น ทางตะวันตกของประเทศ เป็นพื้นที่สำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งใหม่ในภูมิภาคนี้
ตามแผนการที่วางไว้นั้น เฟสแรกของโครงการพัฒนานี้ จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนด้วยกัน คือ ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม และที่พักอาศัย โดยในส่วนของ นิคมอุตสาหกรรมจะตั้งอยู่ห่างไปทางตอนใต้ ของเมืองจ๊อกเพียวราว 8.5 กิโลเมตร ขณะที่ ท่าเรือน้ำลึกโครงการแรก จะอยู่ทางเหนือของ เกาะเมด ส่วนโครงการที่ 2 จะอยู่ทางตอนเหนือของเมืองยันเปียะ และที่พักอาศัยจะอยู่ห่างไปทางตอนใต้ของเมืองราว 12 กิโลเมตร
โครงการนี้ มีกำหนดเริ่มดำเนินงานในเดือนก.พ. 2559 โดยจะเริ่มในการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมเป็นอย่างแรก และคาดว่า การพัฒนาโครงการทั้งหมดจะใช้เวลาราว 20-30 ปี ภายใต้เป้าหมายที่จะยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน และช่วยพัฒนาภาคเศรษฐกิจของเมียนมา ส่งเสริมการพัฒนารัฐยะขิ่น และทำให้เมืองจ๊อกเพียว เป็นศูนย์กลางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ