“แบงก์ชาติ” คาดสินเชื่อทั้งระบบปีนี้ส่อโต 4.4% หากครึ่งปีหลังสินเชื่อใหม่โตเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 2 เติบโต 4.6% ชี้เป็นการเติบโตที่ทรงตัว ครั้งแรกนับจากไตรมาส 4 ปี 2555 เผยส่วนใหญ่โตจากยอดปล่อยกู้ “เอสเอ็มอี” ด้าน “เอ็นพีแอล” ขยับแตะ 2.38%
พร้อมยืนยันไม่พบการโยกเงินผิดปกติ หลังเริ่มลดค้ำเงินฝากเหลือ 25 ล้านบาทเป็นวันแรก ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานตัวเลขสินเชื่อไตรมาส 2 ปี2558 ขยายตัว ที่ 4.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.3% และถือเป็นการเติบโตที่ เริ่มทรงตัวเป็นครั้งแรก หลังจากที่เติบโตในทิศทางชะลอลงมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2555 ขณะที่หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.38% จากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 2.29%
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้อำนวยการ อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แนวโน้มสินเชื่อในช่วงที่เหลือของ ปีนั้น หากมีอัตราการขยายตัวเท่ากับปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 3.3 แสนล้านบาทก็น่าจะทำให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งปีในปีนี้มีอัตราการขยายตัวที่ 4.4%
ส่วนสินเชื่อไตรมาส 2 ปี 2558 ที่มีอัตราการเติบโตที่ทรงตัวครั้งแรกนับจากไตรมาส 4 ปี 2555 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อย (เอสเอ็มอี) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.2% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส ก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 4.4% สำหรับสินเชื่อรายใหญ่มีอัตราการ ขยายตัวที่ลดลง โดยไตรมาส 2 ปี 2558 มีอัตราขยายตัวที่ 0.7% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ที่ 2.6% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ธุรกิจ ขนาดใหญ่หันไประดมทุนผ่านหุ้นกู้เพื่อมาชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน ขณะที่สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคในไตรมาส 2 ปี 2558 ทรงตัวที่ 7.8%
“ไตรมาส 2 สินเชื่อรวมขยายตัว 4.6% ในจำนวนนี้เป็นการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจที่ขยายตัว 3.2% ส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจการเงิน อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะอาคารสำนักงาน อุตสาหกรรมการผลิต และสาธารณูปโภค และเป็นการขยายตัวของสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ 7.8%”
สำหรับสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคที่ขยายตัว 7.8% ในไตรมาสดังกล่าว เป็นผลจากการขยายตัวที่ดีในสินเชื่อส่วนบุคคลและ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตชะลอลงมาอยู่ที่ 8.1% และสินเชื่อรถยนต์ยัง หดตัวที่ 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายจาตุรงค์กล่าวด้วยว่าณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2558 สินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ มียอด คงค้าง 3.11 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 1.33 หมื่นล้านบาท จากธุรกิจในภาคพาณิชย์และอุตสาหกรรมและเอสเอ็มอีขนาดเล็ก เป็นสำคัญ
นอกจากนี้ นายจาตุรงค์ ยังกล่าวถึง ยอดอนุมัติสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้ง ระบบในไตรมาส 2 ปี 2558 ด้วยว่า ในส่วนของสินเชื่อธุรกิจมียอดอนุมัติทรงตัวที่ 73% ขณะที่สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคมีสัดส่วนการอนุมัติสินเชื่อที่ลดลงเหลือ 55% จากเดิม ที่เคยอยู่ที่ 60-70%
ส่งผลให้สัดส่วน Gross NPLต่อสินเชื่อ รวมเพิ่มขึ้นมาที่ 2.38% จาก 2.29% ในไตรมาสก่อน สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (เอสเอ็ม) มียอดคงค้างทั้งสิ้น 3.55 แสนล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 1.06 หมื่นล้านบาท ทำให้สัดส่วน เอสเอ็ม ต่อสินเชื่อรวมลดลงมาอยู่ที่ 2.72% จาก 2.81% ณ สิ้นไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ยังมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ปี 2558 ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบกันสำรองรวมทั้งสิ้น 3.2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้เงินสำรองที่มีอยู่รวมทั้งสิ้น 4.24 แสนล้านบาท สูงกว่าระดับเงินสำรอง พึงกันที่ 2.57 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเงินสำรองที่มีอยู่ต่อสำรองพึงกันที่ 165.1%
สำหรับระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2558 มีกำไรสุทธิ 5.33 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับผล กระทบจากคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง นอกจากนี้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ชะลอตัวตามการชะลอตัวของสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ส่งผลให้อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 2.5%
นายจาตุรงค์ กล่าวว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสะสม การเพิ่มทุนและการออกตราสารทางการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 16.8% และ 14% ตามลำดับ
นอกจากนี้ นายจาตุรงค์ ยังกล่าวถึง การค้ำประกันเงินฝากซึ่งวานนี้ (11 ส.ค.) เป็นวันแรกที่ลดวงเงินการค้ำประกันเหลือ 25 ล้านบาทต่อบัญชีธนาคารพาณิชย์ว่า เท่าที่ติดตาม ดูสถานการณ์ไม่พบการเคลื่อนย้ายเงินที่มี นัยสำคัญ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการลดวงเงินค้ำประกันเหลือ 25 ล้านบาท ยังเป็นวงเงิน ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ได้รับผล กระทบเพียง 0.06% เท่านั้น
“แม้จะลดลงเหลือ 25 ล้านบาทต่อคนต่อธนาคาร ก็ยังเป็นการคุ้มครองที่สูง โดยมีแค่ 0.06% ที่ได้รับผลกระทบจากการลดค้ำประกัน ขณะที่ยอดเงินฝากไม่นับรวมอินเตอร์แบงก์และตั๋วแลกเงิน (บี/อี) ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ปัจจุบันอยู่ที่ 11.76 ล้านล้านบาท” นายจาตุรงค์กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ