ตลาดรับสร้างบ้านกำลังซื้อหดตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนปีนี้ ความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลอ่อนแรง คาดตลาดรวม ลดลง 10-20% จากเป้า 1.6 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะการสร้างบ้านหลังใหม่ช่วง 3 เดือนแรกนี้ลดลงกว่า 20% ขณะเดียวกัน มูลค่าหรือราคาบ้านต่อหน่วยก็ลดลง ด้วยเช่นกัน
โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาเลือกปลูกสร้างบ้านในราคาไม่เกิน 2-3 ล้านบาท จากเดิมที่นิยมเลือกสร้างบ้านในระดับราคา 3-5 ล้านบาทขึ้นไป
“สิทธิพร สุวรรณสุต” นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนได้ว่า ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปยังไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจประเทศและรายได้ของตัวเองในอนาคต ทั้งนี้กำลังซื้อที่ลดลงเกิดขึ้นหลายไตรมาสติดต่อกันแล้ว
“ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาการแข่ง ขันของตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านหรูมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย อาทิ แถมทองคำ แจกรถยนต์ ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านหลังเล็กกลางต่างเน้นกลยุทธ์ลดราคา เช่น ส่วนลดเงินสดสูงสุด 10-20% ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท” สิทธิพร กล่าว
การแข่งขันดังกล่าวนี้คาดว่าตลาดครึ่งปีหลังนับจากไตรมาส 3 มีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อย กอปรกับผลการสำรวจออนไลน์ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายระบุว่ามีแผนจะสร้างบ้านหลังใหม่ในปี 2558 นี้ โดยไตรมาส 3 จะมีการปลูกสร้างบ้าน 19% และไตรมาสสุดท้าย 31%
ด้าน “ซีคอน โฮม” ชี้ธุรกิจรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังแข่งดุ งัดกลยุทธ์ใหม่ชิงแชร์ทุกระดับราคาโดยเฉพาะในเรื่องของโปรโมชั่น
“ศุภิชชา ชัยพิพัฒน์” กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทซีคอนโฮม กล่าวว่า นับจากนี้ไปธุรกิจรับสร้างบ้านต้องปรับตัวอย่างมาก ไม่สามารถใช้แผนการขายในรูปแบบเดิมๆ ได้อีก โดยรูปแบบใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในปัจจุบันเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค อย่างเช่นการเพิ่มบริการ one stop service, การขยายตลาดไปยังต่างจังหวัด หรือประเทศเพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งการขยับการให้บริการออกไปในการก่อสร้างอสังหาริม ทรัพย์ประเภทโฮมออฟฟิศหรือมินิคอนโด
“ในปีนี้มีการเปลี่ยน แปลงของราคาบ้านอย่างเห็นได้ชัดโดยกลุ่มบ้านที่มีการเติบโตสูงขึ้น คือ กลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท และ 2.5- 4 ล้านบาท สะท้อนถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นกลุ่ม frst home อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่ใช้สินเชื่อธนาคารมากถึง 80% ส่วนกลุ่มที่มีการเติบโตขึ้นอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มบ้านระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นตลาดที่มีผลกระทบน้อยมากจากภาวะเศรษฐกิจ” ศุภิชชา กล่าว
ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องหันมาพิจารณาเรื่องของ function การใช้สอยและ specifcation ที่อยู่ในความพอเพียงตามงบประมาณที่มีอยู่ รูปแบบบ้านและ function การใช้สอย รวมทั้ง specifcation ของวัสดุก็จะปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม จึงเป็นช่วงที่ท้าทายมากที่ผู้ประกอบการจะทำอย่างไรที่จะสามารถเติบโตขึ้นท่ามกลางปัจจัย รอบตัวที่ทำให้ต้องคิดเยอะขึ้นอันนี้เป็นเรื่องที่ธุรกิจรับสร้างบ้านต้องปรับตัวเช่นกัน ในขณะที่การขยับขึ้นราคาน่าจะเป็นเรื่องยากในยุคปัจจุบัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ