การร่วมทุน การควบรวมกิจการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างน่าจับตาช่วงที่ผ่านมาเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอดในธุรกิจที่ว่ากันว่าแข่งขันรุนแรงที่สุดธุรกิจหนึ่งในประเทศ
โดยเฉพาะจากบริษัทรายใหญ่ที่มุ่งขยายการลงทุนในทุกรูปแบบ ทุกพื้นที่ เพื่อการเติบโตขององค์กร
นับเฉพาะ 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการร่วมทุนหรือควบรวมกิจการไปแล้วหลายราย ทั้งจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่กับ กลุ่มทุนต่างชาติ เช่น บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จับคู่กับกลุ่มมิตซุย ฟูโดซัง บริษัท เอพี (ประเทศไทย) กับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท เป็นต้น รวมไปถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยจับคู่กันเอง เช่น บริษัท สิงห์ เอสเตท กับบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัท มั่นคงเคหะการ กับบริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส กรณีล่าสุด คือ บริษัท ปริญสิริ กับบริษัท เคพีเอ็น โฮลดิ้ง และบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ที่จะร่วมมือเป็นพันธมิตร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล และบริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง เป็นต้น
ขณะที่อีกความเคลื่อนไหวที่คึกคักไม่แพ้กัน แม้ยังไม่ปรากฏผลเป็นรูปธรรมคือ ความสนใจของทุนต่างชาติที่ต้องการหาผู้ร่วมทุนเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง เพื่อใช้ไทยเป็นฐานขยายตลาดสู่อาเซียน หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ใกล้เข้ามาทุกขณะ
“ยิ่งเข้าใกล้การเปิดเออีซีก็ยิ่งมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้นจากกลุ่มทุนต่างชาติที่เห็นว่าไทยคือศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน จึงต้องการเข้ามาลงทุนในไทยและใช้เป็นฐานขยายตลาดสู่อาเซียนในอนาคตด้วย” สุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจแอลแอล ประเทศไทย กล่าว
สำหรับประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยยังเป็นประเทศแถบเอเชียเป็นหลัก เช่น ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เวียดนาม แต่ประเทศที่สนใจและจริงจังมากที่สุดเวลานี้คือ ญี่ปุ่น โดยต้องการร่วมทุนบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับกลางที่มีศักยภาพ ซึ่งในตลาดปัจจุบันมีอยู่หลายราย โดยญี่ปุ่นจะเข้าเสริมเรื่องเงินลงทุนและเทคโนโลยี
สำหรับเหตุที่เป็นบริษัทขนาดกลาง เพราะเห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่พร้อมอยู่แล้ว โอกาสที่จะร่วมทุนคงยาก ขณะที่บริษัทขนาดกลางที่มีความชำนาญตลาดในพื้นที่อยู่แล้ว ยังต้องการเงินทุนและเทคโนโลยีเข้ามาเสริม เพื่อแข่งขันในตลาดที่แข่งขันรุนแรงขึ้น ส่วนบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการเข้ามาส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลายประเภทอยู่ในญี่ปุ่นและมีบริษัทก่อสร้างรวมอยู่ด้วย
ขณะที่ สุรเชษฐ์ กองชีพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มทุนต่างชาติยังสนใจต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่อาจต้องใช้เวลา เพราะการเข้ามาลงทุนในไทยช่วงเวลานี้อาจยังไม่เหมาะ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเป็นปัจจัยหลัก แต่มีโอกาสฟื้นตัวจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
สำหรับทุนต่างชาติที่ยังคงเหนียวแน่นคือ กลุ่มจากจีนและญี่ปุ่นที่ต้องการลงทุนในอสังหา ริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยและ ค้าปลีก โดยส่วนใหญ่มองพันธมิตรที่เป็นบริษัทมหาชนเริ่มโครงการ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังอาจเห็นโครงการร่วมทุน แต่จะ 1-2 โครงการก่อน ขณะที่สิงคโปร์จะเน้นการเทกโอเวอร์ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและออฟฟิศ
ทั้งนี้ รายงานจากบริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีนักลงทุนจากจีนเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และน่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ส่วนใหญ่เป็นการร่วมทุนกับคนไทยเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น หัวหิน พัทยา เชียงใหม่ โดยอาจ จะได้เห็นดีลใหญ่ของทุนจีนกับ อสังหาฯ ไทยผุดคอนโดมิเนียมที่พัทยาภายในปีนี้
ด้าน อิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพ เพอร์ตี้ กล่าวว่า ข่าวความเคลื่อนไหวของต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจากจีนที่เข้ามาจำนวนมากและมีการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม
“เป็นไปได้ที่จะสนใจเข้ามาร่วมลงทุนกับบริษัทรายกลาง เพราะบริษัทรายใหญ่มีความแข็งแรงอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหาผู้ร่วมลงทุนนัก ขณะที่รายกลางการร่วมทุนกับกลุ่มต่างชาติเป็นช่องทางหนึ่งในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี” อิสระ กล่าว
เชื่อว่ายิ่งเข้าใกล้การเปิด เออีซีความเคลื่อนไหวการร่วมทุนของบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะ 2 ชาติหลักทั้งจีนและญี่ปุ่นจะคึกคักและชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะความเคลื่อนไหวรอบนี้เป็นการชิงพื้นที่ของ 2 มหาอำนาจเอเชีย ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่เป็นทั้งอาเซียนเลยทีเดียว
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์