ไฟแนนเชียลไทมส์ เปิดเผยรายงานเชิงวิเคราะห์ว่า กลุ่มตลาดเกิดใหม่กำลังเผชิญกับภาวะทุนไหลออกครั้งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2009
ซึ่งจะสร้างความผันผวนให้ค่าเงินและเพิ่มความเสี่ยงผิดนัดการชำระหนี้ โดยจะบ่อนทำลายสภาพเศษฐกิจในที่สุด
ไอเอ็นจี บริษัทจัดการการลงทุน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดใหญ่ 15 ประเทศ เผชิญกับภาวะทุนไหลออกครั้งใหญ่ ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว เป็นมูลค่าสูงถึง 3.94 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 12.6 ล้านล้านบาท) ขณะที่สัดส่วนการไหลล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 12.6 ล้านล้านบาท) ขณะที่สัดส่วนการไหลออกของทุนในช่วง 3 ไตรมาสของวิกฤตปี 2009 อยู่ที่ 5.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 17.4 ล้านล้านบาท)
ขณะที่สัดส่วนเงินทุนไหลออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2014 อยู่ที่ 2.55 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.1 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนทุนไหลออกจนใกล้เคียงกับช่วงทุนไหลออกในช่วงวิกฤตการเงินโลก หากไตรมาสแรกของปีนี้ยังมีสัดส่วนทุนไหลออกอย่างต่อเนื่อง
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมที่จะยุตินโยบายผ่อนคลายทางการเงิน กลายเป็นแรงกดดันให้สกุลเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นจนสร้างความปั่นป่วนให้สกุลเงินของตลาดเกิดใหม่
กรณีนี้ยังเป็นผลจากการโยกย้ายเม็ดเงินของนักลงทุน เนื่องจากความกังวลจากความผันผวนในตลาดการเงิน และยังเกิดสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของตลาดเกิดใหม่หลายประเทศอยู่ในภาวะตกต่ำทั่วโลก
กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รับทุนไหลเข้าจำนวนมหาศาลในช่วง 6 ปี นับตั้งแต่วิกฤตปี 2009 โดยเป็นอานิสงส์จากกลุ่มจากการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว นำโดยสหรัฐ ส่งผลให้เศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่เติบโตอย่างร้อนแรง
อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวนำมาซึ่งการก่อหนี้จำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน โดยสัดส่วนหนี้ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปลายปี 2013 เท่ากับ 49% ของสัดส่วนหนี้ทั้งโลก และสูงขึ้นเป็น 2 เท่า จากสัดส่วนหนี้ระหว่างปี 2000-2007
ขณะที่สัดส่วนหนี้ของจีน มาเลเซีย ไทย และไต้หวัน เพิ่มขึ้น 83% 49% 43% และ 16% ตามลำดับ
นักวิเคราะห์หลายสำนักระบุตรงกันว่า ภาวะเงินทุนไหลออก ซึ่งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 จึงกำลังทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้ จะไม่จำกัดผลกระทบแค่ในตลาดทุนเท่านั้น แต่ยังกระจายไปสู่สภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงด้วย เนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชนสุ่มเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น
“บางส่วนของโลกอย่าง บราซิล รัสเซีย โคลอมเบีย มาเลเซีย ดูเหมือนจะเปราะบางอย่างยิ่ง เพราะประเทศเหล่านี้มีเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก กำลังเผชิญกับภาวะตลาดซบเซา” มาร์เตน เจ็น บัคคุม นักยุทธศาสตร์อาวุโสด้านตลาดเกิดใหม่ของ ไอเอ็นจี กล่าวพร้อมเสริมว่า ขณะประเทศที่มีการก่อหนี้อย่างเหลือล้น เช่น ไทย จีน ตุรกี ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงเช่นกัน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว จะส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่มีสัดส่วนเงินสำหรับการชำระหนี้ลดลง รวมถึงขาดแคลนเงินสำหรับการชดเชยภาวะขาดดุล และการใช้จ่ายเพื่อการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการขยายธุรกิจ หากไม่มีทุนไหลเข้า
เดวิด สปีเกล หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ ของธนาคารบีเอ็นพี บาริบาส์ ระบุว่า หากประเทศตลาดเกิดใหม่ไม่สามารถรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ไปได้ ก็จะทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจที่แพร่กระจายในวงกว้าง อาจก่อให้เกิดการเลิกจ้าง และกลายเป็นปัญหาการว่างงานในที่สุด
ทั้งนี้ สถานการณ์ในปัจจุบัน ตึงเครียดกว่ามาก เนื่องจาก สัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1995 นับเป็นตัวชี้วัดว่าตลาด เกิดใหม่กำลังเผชิญกับภาวะเงินทุนไหลออก
อย่างไรก็ตาม สำหรับ อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก กลับมีสัดส่วนเงินทุนไหลเข้าที่มากขึ้น เนื่องจากการที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และยังได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลงมาช่วยชดเชยภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
กรณีดังกล่าวค่าเงินรูเปียห์แข็งค่าขึ้นติดต่อกันเป็นอาทิตย์ที่ 3 และแข็งค่าขึ้นแล้ว 5% สำหรับสัปดาห์นี้ขึ้นไปอยู่ที่ 1.3 หมื่นรูเปียห์/เหรียญสหรัฐ ในช่วงเช้าของวันนี้