“อาคม”ระบุนายกฯสั่งเร่งเชื่อมเส้นทางคมนาคมถนน-ระบบราง เตรียมความพร้อมรับเปิดเออีซี พร้อมวางแนวเส้นทางทวาย – แหลมฉบังฯ ลดต้นทุนขนส่งสินค้า ในอนาคต เผยเครือสหพัฒน์-ซีพี เล็ง ลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภค แปรรูปเกษตร ส่งออก เพื่อนบ้าน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้เร่งรัดการเตรียมความพร้อมของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน เนื่องจากประเทศไทยมีความได้เปรียบจากการที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านทางบกมากที่สุด
ภายหลังปี 2558 จะต้องมีความเชื่อมโยง เส้นทางการขนส่งทั้งทางถนนและทางราง โดยในส่วนของถนนหลังจากที่มีปรับปรุง ด่านศุลกากรในพื้นที่ต่างๆและการขยายถนน ในพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมาก ก็มีโครงการที่จะก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 ซึ่งเมื่อเสร็จจะสามารถเพิ่มมูลค่าการค้าของระหว่างไทยกับประเทศพม่าได้อีกมาก
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาด่านใน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลจะมีการหารือกับรัฐบาลกัมพูชา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจร่วม หรือ Join Economic Zone ร่วมกันระหว่างสองประเทศ
เชื่อมโยงระบบรางชาติอาเซียน
สำหรับการเชื่อมโยงเส้นทางการคมนาคมระบบราง อยู่ระหว่างเตรียมการเจรจากับประเทศต่างๆ โดยที่สามารถทำได้โดยเร็วที่สุด คือ เชื่อมโยงเส้นทางรถไฟจากมาเลเซียและสิงคโปร์หรือเส้นทางกรุงเทพ-กัวลาลัมเปอร์-สิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันมีการเดินรถด้วยรถไฟสาย Oriental Expressแต่หลังจากเปิดประชาคมอาเซียนแล้ว จะต้องมีการเดินรถไฟทางใต้ในสายเส้นทางนี้ ในการเดินทางเชิงพาณิชย์ด้วย
สำหรับเส้นทางรถไฟอื่นๆที่เชื่อมโยงในอาเซียนได้แก่ เส้นทางรถไฟที่เป็นความร่วมมือกับรัฐบาลจีนสายกรุงเทพฯ -หนองคาย ซึ่งทางการจีนจะมีการลงทุนจากจีนลงมาที่นครเวียงจันทน์ของ สปป.ลาว และมาเชื่อมกับรถไฟในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมองไปถึงรถไฟเพื่อเชื่อมจากกรุงเทพฯ ไปถึงมุกดาหาร และรถไฟสายตะวันตก-ตะวันออก จากโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายในพม่า จ.กาญจนบุรี ไปถึงท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเชื่อมชายฝั่งตะวันออกของไทยด้วย ซึ่งการเชื่อมโยงการขนส่งทางรางจะทำให้เอกชนสามารถลดต้นทุนการขนส่งได้มากขึ้น
เชื่อมโยงการบินเมืองรอง
ส่วนความร่วมมือทางเรื่องการเดินทางทางอากาศ โดยล่าสุดสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ได้ผ่านพิธีสารด้านความร่วมมือการบินในอาเซียนเกี่ยวกับการเชื่อมโยงการบินของไทยไปยังประเทศในอาเซียนและประเทศในอาเซียนเชื่อมต่อไปยังประเทศจีน เพื่อรองรับการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ส่วนความร่วมมือระหว่างสายการบินในระยะต่อไป ต้องมีการหารือระหว่างสายการบินระดับ พรีเมี่ยมและโลว์คอร์สแอร์ไลน์ ให้มีมาตรการการบินที่ใกล้เคียงและทำให้การแข่งขันกันมีมาตรฐานสากลมากขึ้น
นอกจากนั้นแนวโน้มในระยะต่อไปจะเปิดสนามบินรองในระดับภูมิภาค เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและการทำธุรกิจในประเทศในเมืองอื่นๆที่ไม่ใช่เมืองหลวง เช่น ในกรณีของไทยเองก็จะขยายสนามบินในภูมิภาคมากขึ้น ได้แก่ สนามบิน แม่สอด จ.ตาก ที่จะต้องมีการปรับปรุงให้มี ขนาดใหญ่ขึ้น และการเดินหน้าก่อสร้างสนามบินเบตง จ.ยะลา ให้รองรับการให้บริการเชิงพาณิชย์ เช่นเดียวกับสนามบินในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหารและแขวงสะหวันเขตของ สปป.ลาว เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนที่จะเดินทางลงพื้นที่นี้มากขึ้น หลังการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกันระหว่างไทยกับ สปป.ลาว
สหพัฒนฯ-ซีพีเล็งลงทุนเขตศก.พิเศษ
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า หัวใจหลักของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อยู่ที่การกำหนดอย่างเจาะจงว่าในแต่ละแห่ง จะมุ่งเน้นในอุตสาหกรรมกลุ่มใดบ้าง เพื่อให้มีการวางระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับได้อย่างเหมาะสมที่สุด เพื่อลดต้นทุนการผลิต และสามารถส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้หลังจากที่ กนอ. ได้ลงนามกับ บมจ.ปตท. เพื่อร่วมพัฒนานิคมอุตสาหกรรมกลุ่มพลาสติกในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนไปแล้ว ล่าสุด กลุ่มสหพัฒนพิบูลย์ และกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ก็สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในนิคมฯเขตเศรษฐกิจชายแดน โดยกลุ่มสหพัฒนพิบูลย์ มีแผนที่จะตั้งฐานการผลิตสินค้าอุปโภค บริโภค ป้อนให้กับตลาดเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีโรงงานเครื่องนุ่งห่มในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก อยู่แล้ว
ส่วนกลุ่มซีพี ก็ตั้งเป้าที่จะตั้งฐานการผลิตสินค้าอาหาร สินค้าเกษตรแปรรูป รวมไปถึงอาหารสัตว์ ป้อนให้กับประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้จะหารือในรายละเอียดถึงพื้นที่ เป้าหมาย และแนวทางการลงทุนต่อไป
กนอ.อยู่ระหว่างการประสานงานกับ หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ง เพื่อเพิ่มการให้บริการ วันสต็อปเซอร์วิสออกใบอนุญาตให้กับ ผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น ความร่วมมือกับกรมศุลกากร จากเดิมที่มีความร่วมมือในการออกใบอนุญาตในเรื่องของที่ดิน อาหาร และการตั้งโรงงาน
เคาะเป้าหมายอุตฯเขตศก.พิเศษ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทั้ง 5 แห่งอย่างเจาะจง ให้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ โดยในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จ.ตาก จะเน้น 10 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมการเกษตร และประมง 2.เซรามิก 3.สิ่งทอ เครื่องนุ่งห้ม และเครื่องหนัง 4.เครื่องเรือน 5.อัญมณีเครื่องประดับ 6.ยานยนต์ เครื่องจักร และชิ้นส่วน 7.เครื่องใช้ไฟฟ้า 8.กิจการโลจิสติกส์ 9.นิคมฯหรือเขตอุตสาหกรรม และ 10.กิจการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว
ขณะที่ จ. สระแก้ว มี 9 กลุ่ม ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมการเกษตร และประมง 2.สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องหนัง 3.เครื่องเรือน 4.อัญมณีและเครื่องประดับ 5.ยานยนต์ เครื่องจักร และชิ้นส่วน 6.เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 7.กิจการโลจิสติกส์ 8.นิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และ9.กิจการเพิ่อสนับสนุนการท่องเทียว
จ.ตราด มี 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมการเกษตร ประมง 2.กิจการโลจิสติกส์ 3.นิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และ4.กิจการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว
จ.มุกดาหาร 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมการเกษตร และประมง 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3.กิจการโลจิสติกส์ 4.นิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และ5.กิจการเพื่อสนับสนุนการ ท่องเที่ยว และจ.สงขลา 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมการเกษตร และประมง 2. สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องหนัง 3.เครื่องเรือน 4.กิจการโลจิสติกส์ 5.นิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และ6.กิจการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว
เผยนิคมฯกนอ.รั้งอันดับ8อาเซียน
นายวีรพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม กนอ. ได้ศึกษาศักยภาพของนิคมอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมในอาเซียน พบว่า นิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. ที่มีอยู่ 11 แห่ง อยู่ในอันดับ 8 ของจำนวนนิคมทั้งหมดของอาเซียน โดยนิคมฯอันดับ 1.อมตะ 2.โรจนะ 3.เหมราช 4.นวนคร 5.ยะโฮร์ (มาเลเซีย) 6.จาลาเบก้า (อินโดนีเซีย) 7.คาเมเล (ฟิลิปปินส์) 8.กนอ. 9.บางปะอิน 10.มหาชัย
อย่างไรก็ตามหากวัดในเรื่องของภาพรวมของทั้งประเทศ จะพบว่าอันดับ 1 มาเลเซีย รองลงมาเป็นไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งในการสำรวจครั้งนี้สิงคโปร์ไม่ได้เข้ามาร่วมสำรวจด้วย ซึ่งหากสิงคโปร์เข้าร่วมก็น่าจะอยู่ในอันดับ 1 ของอาเซียน
“แม้ว่านิคมฯที่ได้คะแนนสูงสุดของมาเลเซีย คือ ยะโฮร์ จะอยู่ในอันดับ 7 แต่ภาพรวมของทั้งประเทศ อยู่ในอันดับ 1 มาจากโครงสร้างพื้นฐานของมาเลเซียทั้งประเทศดีกว่าของไทย ขณะที่นิคมฯชั้นนำของไทยส่วนใหญ่อยู่ในอันดับต้นๆ เพราะศักยภาพด้านทำเลที่ตั้ง การให้บริการ โครงสร้างพื้นฐาน การทำตลาด และต้นทุนการดำเนินการดีที่สุด แต่ถ้ารวมกับศักยภาพทั้งประเทศที่ด้อยกว่าทำให้ร่วงลงมาอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน”นายวีรพงศ์ กล่าว
โดยสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้นิคมฯของ กนอ. อยู่ในอันดับ 8 เพราะว่าเป็นนิคมฯที่ตั้งมานาน ทำให้โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค และระบบบำบัดน้ำเสียงต่างๆค่อนข้างเก่า ดังนั้น กนอ. จึงมีแผนที่จะเร่งปรับปรุงนิคมฯที่ กนอ. ดูแลทั้ง 11 แห่ง ในทุกๆด้าน รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และปรับปรุงอาคารสถานที่ให้ดีขึ้น ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าในปี 2559 จะขยับจากอันดับ 8 ขึ้นมาติด 1 ใน 3 ของนิคมฯที่ดีที่สุดของอาเซียนให้ได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ