“แอลพีเอ็น”ระมัดระวังขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯ หลังเศรษฐกิจ-กำลังซื้อไม่ชัด ระบุน้ำมันโลกดิ่งสะท้อนความต้องการสินค้าทั่วโลกตก ดันแผน 2 สู่เป้าหมายรายได้ 1.6 หมื่นล้านจากแผนหลักตั้งเป้า 1.8 หมื่นล้าน
นายฑิฆัมพร เปล่งศรีสุข ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.เวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของแอลพีเอ็นในปีนี้ ค่อนข้างเป็นไปอย่างระมัดระวังเนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจ และกำลังซื้อในประเทศยังไม่ชัดเจนเช่นการเติบโตของการส่งออกที่คาดว่าจะโตต่ำ สถานการณ์ท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวไม่ดีนัก เนื่องจากไทยยังไม่ยกเลิก กฎอัยการศึกและอาจมีความไม่แน่นอนทาง การเมืองเกิดขึ้นหลังการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ส่วนปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกพบว่า ยังผันผวน เช่นสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างมากยังสะท้อนภาวะตลาดโลกที่ไม่มีกำลังซื้อ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าลดลงสิ่งเหล่านี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
“เราวางแผนธุรกิจไว้ 2 แผน เพราะสถานการณ์ ตอนนี้ไม่มีอะไรชัดเจนดูสถานการณ์ต่างประเทศ ไม่ดีเลย เห็นได้ชัดจากราคาน้ำมันโลกที่ดิ่งลง สะท้อนว่าเศรษฐกิจไม่ดี ตลาดไม่มีอารมณ์ จับจ่ายการเมืองไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่รัฐบาลบอกว่าจะเก็บ แต่กลับไม่กล้า สะท้อนว่าสถานการณ์เช่นนี้ ไม่น่าสบายใจ เมื่อไม่สบายใจแปลว่าเราต้องระมัดระวังในการขับเคลื่อนธุรกิจเชิงรุกแบบเบา หรือถอยตั้งรับไว้ เพราะปีนี้ไม่ใช่ขาขึ้น”
ด้านนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.เวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า วางแผนธุรกิจ 2 แผนปีนี้ คือ แผนเอ(A) วางเป้าหมายยอดขาย 2.4 หมื่นล้านบาท มีรายได้ 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนแผนบี(B) เป้าหมายยอดขาย 2 หมื่นล้านบาท และมีรายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การวางแผนดังกล่าวเพื่อให้บริษัทมีความยืดหยุ่น รองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงเร็ว โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังที่มักแตกต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ หากมีแผนเดียวบริษัทอาจปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปไม่ทัน
“แผนเอ เราตั้งเป้ารายได้ 1.8 หมื่นล้านบาท แต่หากสถานการณ์เลวร้ายลงเราก็ปรับให้ยืดหยุ่นได้ที่เป้ารายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท นั่นก็จะส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายของเราลดลง”
สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาฯในช่วงครึ่งปีแรก ประเมินว่าจะค่อนข้างเหนื่อยโดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัดที่หดตัวจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อย่างไรก็ตามเห็นว่าทิศทางธุรกิจอสังหาฯ ภาพรวมน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ประเมินจาก ยอดขายคอนโดมิเนียมเดิมลูกค้าเข้ามา เยี่ยมชมโครงการ 4 ราย จะปิดการขายได้เพียง 1 ราย เท่านั้น แต่ขณะนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดย เข้ามาเยี่ยมชม 1 ราย ก็จะตัดสินใจซื้อทำให้ ปิดการขายได้เลย
ล่าสุดบริษัทจะเปิดการขายโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 เฟส 2 ในวันที่ 4 เม.ย.นี้ตั้งเป้า ยอดขายเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท ส่วนความคืบหน้าโครงการอื่น เช่นลุมพินี ซีวิว ชะอำ มูลค่าโครงการ 1,230 ล้านบาท มียอดขาย 700 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิตยังไม่ได้รับการอนุมัติทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) ส่งผลให้มีลูกค้าคืนใบจองประมาณ 700 ราย แต่เมื่อเข้าใจสถานการณ์พบว่ากลับมาจองคอนโดอีกครั้งประมาณ 500 ราย
“ภาพรวมครึ่งปีแรกยังเหนื่อย ต้องประเมินสถานการณ์ครึ่งปีหลังว่าจะมีทิศทางอย่างไรโดยตลาดคอนโดของแอลพีเอ็นจับตลาดกลางล่าง ถือเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่วันนี้ผู้ซื้อไม่ได้แค่คนมีรายได้น้อยซื้อเพื่อ อยู่อาศัย แต่คนที่มีรายได้สูงก็ซื้อเพื่อลงทุน ซื้อเป็นที่อยู่อาศัยสำรอง และซื้อให้บุตรหลานมากขึ้น เช่นเดียวกับมาม่าที่คนบริโภคเพราะว่า อร่อยไม่ใช่แค่มีเงินน้อย”
อย่างไรก็ตาม เขาประเมินว่าขณะนี้มีเพียงการพึ่งพาการลงทุนจากภาครัฐและภาคท่องเที่ยวเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตแต่หากรัฐบาลต้องการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นเห็นว่า ควรดำเนินมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะกล้าดำเนินการหรือไม่
ภาพรวมตลาดครึ่งปีแรกยังเหนื่อย
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ