อสังหาฯรายกลาง-เล็ก ดิ้นระบายสต๊อก อัดโปรโมชันเดือด แต่ต้องเผชิญปัจจัยลบด้านหนี้สินครัวเรือน ดันยอดรีเจ็กต์ ตลาดกลางล่างพุ่ง
แถมแบงก์ตั้งเกณฑ์เข้ม “เสนา” หันหัวมุ่งตลาดกลาง-บน ด้าน “ออริจิ้น” เกาะติดเส้นทางการเงินลูกค้าใกล้ชิด “เอ็นซี” ชี้ตลาดต่างจังหวัดทรงตัว
สืบเนื่องจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ประมาณการที่อยู่อาศัยเหลือขายจนถึงสิ้นปี 2557 มีอยู่ประมาณ 1.35 แสนหน่วย แบ่งเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์รวมกันประมาณ 8 หมื่นหน่วย คอนโดมิเนียมอีก 5.4 หมื่นหน่วย ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งระบายสต๊อกบ้านที่เหลืออยู่ แต่ด้วยปัจจัยลบอย่างสถานการณ์เศรษฐกิจ และปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินงานและแผนงานการตลาด โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กที่ไม่ใช่แค่ต้องเผชิญกับปัจจัยลบ แต่ยังต้องแข่งขันกับรายใหญ่
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่จำนวน 300 ยูนิต มูลค่ารวม 500 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมคิดเป็นสัดส่วน 95% ของสต๊อกที่มีอยู่ ขณะที่ยอดปฏิเสธสินเชื่อก็พบว่ามีอัตราเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมกลาง-ล่าง ระดับราคาขายต่ำกว่า 2 ล้านบาท คือประมาณ 20-30% จากเดิมอยู่ที่ 5-10% สาเหตุหลักมาจากหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น
จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ต้องปรับแผนใหม่หันมาเน้นเจาะตลาดกลางบนมากขึ้น พร้อมกับขยายฐานลูกค้า กลุ่มใหม่ที่มีรายได้ประมาณ 1 แสนบาท รวมถึงพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯฝั่งตะวันตกมากขึ้น รวมทั้งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจ Recurring Income และทำโซลาร์รูฟท็อปในโครงการ เพื่อเพิ่มฐานที่มาของรายได้
นอกจากนี้ยังต้องจัดโปรโมชันพิเศษ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯครั้งที่ 32 โดยจัดโปรโมชัน “เสนาแจกทอง รับทอง ทุกวัน ทุกยูนิต” โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขาย จากงานไว้ที่ 200-300 ล้านบาท หรือ 50% ของมูลค่าสต๊อกสินค้าที่เหลืออยู่
“ต้องยอมรับว่างานมหกรรมบ้านและคอนโดฯถือเป็นอีกหนึ่งงานที่จะช่วยสร้างอารมณ์การตัดสินใจซื้อให้กับผู้บริโภค ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องอัดโปรโมชันที่น่าสนใจ เพื่อดึงกำลังซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 1”
ด้านนายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สต๊อกคอนโดมิเนียมของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 200 ล้านบาท จาก 100 ยูนิต ในขณะที่ยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 5-6% จากเดิม 2-3% สาเหตุหลักมาจากปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น และสถาบันการเงินมีเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเข้มมากขึ้น เช่น เดิมลูกค้าที่ลืมชำระค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตภายในระยะเวลา 6 เดือน จะไม่นำมาคิดพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อหากมีการชำระแล้ว แต่ปัจจุบันไม่ว่าลูกค้าจะชำระแล้วก็ยังถือว่าติดเครดิตบูโร ทำให้บริษัทต้องดูแลวินัยทางการเงินของลูกค้าอย่างใกล้ชิดก่อนยื่นขอสินเชื่อ จากเดิมจะดูความเคลื่อนไหวทางบัญชีในรอบ 6 เดือน มาเป็นรอบ 3 เดือน
จากยอดรีเจ็กต์ที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องนำสินค้าเหล่านั้นกลับมาขายใหม่ พร้อมอัดแคมเปญมากขึ้น เช่น จอง 999 บาท ผ่อน 999 บาท นาน 1 ปี ลดสูงสุด 2 แสนบาท ลุ้นรับ Toyota new yaris ฯลฯ
นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดรีเจ็กต์ส่วนใหญ่จะเป็นของคอนโดมิเนียม เนื่องจากให้เวลาในการก่อสร้างจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์นานกว่าโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ทำให้มีโอกาสทิ้งเงินดาวน์สูงกว่า ในส่วนของบริษัทปัจจุบันมียอดรีเจ็กต์อยู่ที่ 5% ใน 2 โครงการได้แก่ โครงการเนทูเรซ่า พัทยาเหนือและโครงการดิอามองต์ เชียงใหม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าตลาดต่างจังหวัดในช่วงที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังไม่ดีเท่าที่ควร เหตุจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ