ปลัดคลังระบุเตรียมหารือแนวทางการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับทุกฝ่าย หวังหาข้อสรุปอัตราภาษีก่อนำเสนอ ครม.พิจารณา คาดกฎหมายมีผลบังคับใช้ในปีนี้ ด้านภาคเอกชนแนะรัฐบาลศึกษาให้รอบคอบ ห่วงกระทบผู้บริโภค
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมหารือแนวทางการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในที่ประชุมคณะกรรมมาธิการปฎิรูปภาษี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันที่ 5 มีนาคมนี้ โดยมีนายสมหมาย ภาษีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเพื่อหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และหาข้อสรุปอัตราภาษีก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาซึ่งคาดว่ากฎหมายจะประกาศได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ กฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดินจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 12.5 แต่ใช้ฐานราคาประเมินใน 20 ปีที่ผ่านการคำนวณภาษี จึงจัดเก็บเฉพาะโรงเรือน แต่ที่ดินว่างเปล่าได้รับการยกเว้น จึงเป็นช่องทางให้มีการซื้อที่ดินเพื่อหวังเก็งกำไร แต่ไม่ได้ทำประโยชน์ ดังนั้นอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่นี้อัตราจะลดลง แต่ฐานการจัดเก็บจะสูงขึ้น เบื้องต้อนกระทรวงการคลัง กำหนดเพดานการจัดเก็บ ดังนี้ ที่ดินการเกษตรกำหนดเพดานจัดเก็บร้อยละ 0.25 ที่อยู่อาศัยเพดานจัดเก็บ ร้อยละ 0.5 ที่ดินพาณิชย์กรรม เพดานจัดเก็บ ร้อยละ 2
ส่วนที่ดินรกร้างว่างเปล่ากำหนดอัตราจัดเก็บในขั้นแรกคือร้อยละ 0.5 หากไม่ทำประโยชน์จะเพิ่มอีก 1 เท่าทุก 3 ปี แต่สูงสุดไม่เกิน ร้อยละ 2 โดยจะออกกำหมายลูกประกาศอัตราการจัดเก็บทุกประเภทใหม่อีกครั้ง เช่น บ้านราคา 1-3 ล้านบาท เก็บภาษีครึ่งหนึ่งของเพดาน หากราคาไม่ถึง 1 ล้านบาทจะได้รับการยกเว้นภาษี โดยใช้ประเมินราคาที่ดินเป็นฐานคำนวณภาษี ซึ่งขณะนี้กรมธนารักษ์อยู่ระหว่างเร่งประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ คาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นปี 2558
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮาส์ จำกั (มหาชน) กล่าวว่า รัฐบาลควรระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดกับผู้บริโภค กรณีการจัดเก็บภาษีที่ดินกับที่อยู่อาศัย ราคาตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ราคาดังกล่าวจะทำให้แทบทุกคนต้องเสียภาษี ส่วนนี้จะเป็นต้นทุนของผู้ซื้อ และเชื่อว่าส่วนหนึ่งอาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป
“ภาครัฐควรมีความชัดเจน ควรต้องศึกษาถึงข้อดี ข้อเสีย เพราะแต่ละปีเม็ดเงินจากธุรกิจอสังหาฯ เข้าไปช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบมาก แต่หากรัฐบาลยืนยันที่จะผลักดันกฎหมายดังกล่าวออกมาบังคับใช้ ผู้บริโภคคงต้องมีการปรับตัว เพราะจะต้องมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันในด้านของผู้ประกอบการจะมีผลดี เพราะจะมีผู้ขายที่ดินให้ในราคาที่ถูกลงมากขึ้น ในส่วนของบริษัทฯเอง ไม่เน้นการสะสมที่ดินมากนัก จะซื้อและพัฒนาภายในระยะเวลา 1-2 ปีมากกว่า” นายชัชชาติ กล่าว
ส่วนตลาดอสังหาฯ ในปี 2558 มองว่ามีการแข่งขันที่สูง ตลาดมีอัตราการเติบโต 10% โดยผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความได้เปรียบ เพราะมีต้นทุนทางการเงินที่มากกว่ารายกลางและรายเล็กขณะเดียวกันก็ต้องระวังเรื่องปัจจัยเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการเมืองมองว่าเริ่มนิ่งมากขึ้น ความมั่นใจของนักลงทุนเริ่มกลับมามากขึ้น รวมทั้งปัจจัยบวกจะเป็นในเรื่องน้ำมัน ที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนได้ร้อยละ 2-3 ส่วนอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ และความต้องการบ้านแนวราบยังมีอีกอย่างต่อเนื่อง แต่ควรติดตามภาวะเศรษฐกิจและหนี้สินครัวเรือนที่ยังพบว่ามีสูงอยู่ อัตราการถูกปฎิเสธ สินเชื่อในบางทำเลสูงร้อยละ 20-40