“บิ๊กตู่” ควง ครม.บุกญี่ปุ่น โรดโชว์ดึงเอกชนลงทุน 6 เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ตั้งโรงงาน-ฐานผลิตรับเออีซี สำรวจรถไฟ 3 เส้นทาง กู้สร้างถนน 138 กม. บูมท่าเรือทวาย
มหาดไทยชี้จุดผังเมืองสระแก้วและตาก บิ๊กจินลุยจีนกู้เงินสร้างรถไฟ 4 แสนล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 8-10 ก.พ.นี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มีกำหนดการเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ จะหารือในประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาระบบราง โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยสู่ญี่ปุ่น
เซ็นลงนามร่วม 2 ฉบับ จะมีลงนามความร่วมมือ 2 ฉบับ คือ บันทึกแสดงเจตจำนง MOI (Memorandum of Intent) พัฒนาระบบราง โดยระบุเส้นทาง ที่มีความสำคัญลำดับต้นที่สองฝ่ายจะร่วมมือ พัฒนา และการยกระดับกลไกคณะทำงานระบบรางไทย-ญี่ปุ่น และบันทึกความร่วมมือ MOC (Memorandum of Cooperation) ความร่วมมือส่งเสริมธุรกิจไทยในญี่ปุ่น, ญี่ปุ่นในไทย และธุรกิจระหว่างกันในประเทศที่สาม
กู้ญี่ปุ่นสร้างถนนรับทวาย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การหารือหลัก ๆ คือ การลงนาม MOI ศึกษาและสำรวจเส้นทางรถไฟราง 1.435 เมตร 3 เส้นทาง ได้แก่ 1.แม่สอด-สุโขทัยพิษณุโลก-บ้านไผ่-มุกดาหาร 2.บ้านพุน้ำร้อน- กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ, กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง (และกรุงเทพฯ-อรัญประเทศ) และ 3.กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจเป็นลำดับแรกคือเส้นทางบ้านพุน้ำร้อน- กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ
อีกทั้งจะให้ญี่ปุ่นจัดเงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษให้รัฐบาลเมียนมาร์สร้างถนนในโครงการทวายจากบ้านพุน้ำร้อน-ทวาย ระยะทาง 138 กม. วงเงิน 3,900 ล้านบาท เพราะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะต้องให้รัฐบาลเมียนมาร์เป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างแทน บมจ.อิตาเลียนไทยฯและจะลงนาม MOC กับญี่ปุ่นเพื่อร่วมกันพัฒนาทวายที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ 3 เข้ามาร่วมลงทุนกับรัฐบาลไทยและเมียนมาร์หลังเฟสแรกทางอิตาเลียนไทยฯพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแล้ว ดึงญี่ปุ่นบูม 6 เขตเศรษฐกิจพิเศษ
สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน นายกรัฐมนตรีจะเชิญให้บริษัทเอกชนญี่ปุ่นเข้ามาตั้งโรงงานและฐานการผลิตในเขตเศรษฐกิจ 6 แห่ง ได้แก่ ตาก มุกดาหาร ตราด สระแก้ว สงขลา และหนองคาย
“จะให้ญี่ปุ่นสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาลงทุนเขตเศรษฐกิจชายแดนทั้ง 6 แห่ง อยู่ที่ว่าเขาจะให้ความสนใจว่าแห่งไหน ซึ่งไทยจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไว้รองรับ เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน ด่านศุลกากร ในปี’58-59 ลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยทุกอย่าง ทั้งอาหาร บริการ และชิ้นส่วนรถยนต์ แต่ถ้ามาลงทุนเพิ่มในเขตเศรษฐกิจที่จัดไว้ จะได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น”
เปิดเงื่อนไขบีโอไอพลัส สำหรับการพิจารณาสิทธิประโยชน์จะเป็นไปตามเกณฑ์ของคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ฉบับใหม่ที่ปรับ แก้รายละเอียดแล้วโดยให้สิทธิพิเศษผู้ลงทุน ในพื้นที่เพิ่มขึ้น เช่น ถ้าเป็นกิจการเป้าหมาย และตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ลดหย่อนสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุนในอัตรา 50% ของอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 5 ปี เป็นต้น
ส่วนกิจการที่ไม่ได้รับการส่งเสริมจาก บีโอไอ จะได้ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% เหลือ 10% เป็นเวลา 10 รอบบัญชี ด้านมาตรการการเงิน ให้เงินกู้ดอกเบี้ยผ่อนปรนรายละ 10-20 ล้านบาท ด้านสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากกรมศุลกากร กรณีตั้งเขตปลอดอากรและคลังสินค้า จะยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบที่นำมาผลิตเพื่อส่งออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 30-50 ปี
นายอาคมกล่าวว่า พื้นที่จะพัฒนานิคมอุตสาหกรรมนั้น ยังไม่ชัดเจนจะอยู่บริเวณไหน แต่จะอยู่พื้นที่อำเภอที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ แต่ที่ดินมีราคาแพงมากจึงต้องใช้ที่ดินของราชการ เช่น ที่ราชพัสดุ ที่ดินกรมธนารักษ์ ที่ป่าเสื่อมโทรมมาดำเนินการแทน ที่จะทำได้ทันทีคือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ส่วนที่จะพัฒนาพื้นที่นิคมอยู่ระหว่างพิจารณาจะให้เอกชนเช่าที่ดินของรัฐหรือจะให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้จัดหาที่ดินมาบริหารจัดการต่อไป
หากเอกชนจะเช่าที่ดินของรัฐ กรณีที่เป็นคนต่างชาติ ตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542 ให้สิทธิในการเช่าอสังหาฯเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมเกินกว่า 30 ปี แต่ไม่เกิน 50 ปี ครบกำหนดสัญญาต่อระยะเวลา การเช่าได้อีกไม่เกิน 50 ปี
เคาะที่ตั้ง-คลอดผังเมือง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กำลังเร่งรัดหาพื้นที่จะพัฒนาเขตเศรษฐกิจ จะโฟกัสจุดไหนบ้างจากที่ได้ประกาศครอบคลุมไว้แล้ว โดย 6 แห่งนำร่องคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ พร้อมกับการจัดวางผังเมือง ที่จะชี้นำการพัฒนาแต่ละพื้นที่ เช่น พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย กรมโยธาธิการและผังเมืองจะดำเนินการ เสร็จ ก.พ.-มี.ค.นี้
“จะพยายามใช้พื้นที่ส่วนราชการเป็นหลักในการพัฒนา เช่น พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ที่ราชพัสดุกรมธนารักษ์ เพราะทำให้ต้นทุนการพัฒนาของเอกชนที่จะมาลงทุนถูกลง แต่จะต้องสำรวจว่าพื้นที่ไหนที่ยังมีการบุกรุก จะเร่งรื้อย้ายออกไป”
พลเอกอนุพงษ์กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่สำรวจ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พื้นที่เหมาะที่จะอยู่ ต.ป่าไร่ และ ต.บ้านใหม่หนองไทร เนื่องจากเป็นพื้นที่ไม่ถูกน้ำท่วมและมีที่สาธารณประโยชน์ 2,145 ไร่ คาดว่าพื้นที่อรัญประเทศจะเกิดได้ก่อนพื้นที่อื่น ๆ
ปัจจุบันกรมโยธาฯร่วมกับการนิคมฯ ร่วมกันศึกษาพื้นที่เพื่อออกแบบวางผังพื้นที่เฉพาะเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จำนวน 4 พื้นที่ ได้แก่ 1.ต.ป่าไร่ เนื้อที่ 500 ไร่ อยู่ในการดูแลของกรมป่าไม้ ห่างจากจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึกประมาณ 10 กม. 2.ต.ป่าไร่ เนื้อที่ 679 ไร่ เป็นที่ น.ส.ล. อยู่ในการดูแลของเทศบาลตำบลป่าไร่ 3.พื้นที่ ต.บ้านด่าน เนื้อที่ 1,000 ไร่ เป็นที่ ส.ป.ก. อยู่ในการดูแลของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินฯ ห่างจากจุดผ่านแดนคลองลึก 12 กม. และ 4.บริเวณ ต.บ้านด่าน เนื้อที่ 1,000 ไร่ เป็นที่ของการรถไฟฯและเอกชน
ส่วนพื้นที่เขตเศรษฐกิจตาก พลเอก อนุพงษ์กล่าวว่า จะอยู่ที่อำเภอแม่สอด จะใช้ที่ป่าเสื่อมโทรมของกรมป่าไม้บริเวณ ต.แม่ปะและ ต.ท่าสายลวด
เร่งเจรจาจีนสร้างรถไฟ ขณะที่ความคืบหน้ารูปแบบการลงทุนรถไฟไทย-จีนเส้นทางหนองคายนครราชสีมา-แก่งคอย-มาบตาพุด และแก่งคอย-กรุงเทพฯ 873 กม. วงเงิน 4 แสน ล้านบาท ที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะประชุมคณะกรรมการร่วมครั้งที่ 2 ที่ปักกิ่งวันที่ 11-13 ก.พ.นี้
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า เสนอการลงทุน 2 รูปแบบเจรจากับจีน คือ รูปแบบที่ 1 ช่วงก่อสร้างรัฐบาลไทยรับผิดชอบ การก่อสร้างโครงการรูปแบบ EPC+F+O คือ จีนจะสำรวจ ออกแบบ จัดหาระบบ ก่อสร้าง และให้เงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษ โดยเสนอดอกเบี้ย 2-4% ปลอดหนี้ 4 ปี คืนทุน 20 ปี แต่จะเจรจาให้ข้อเสนอดีที่สุด โดยจะนำแหล่งเงินอื่นมาเปรียบเทียบด้วย เช่น องค์กรเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) ดอกเบี้ย 1.5%
“ส่วนการเดินรถจะให้จัดตั้งบริษัทร่วมไทย-จีน รูปแบบบริษัทรัฐวิสาหกิจ เพื่อบริการเดินรถตามสัดส่วนที่ตกลงกัน อาจจะเป็นไทย 51% และจีน 49%”
แหล่งข่าวกล่าวว่า รูปแบบที่ 2 จัดตั้ง SPV (นิติบุคคลเฉพาะกิจ) ไทย-จีน มาดำเนินการก่อสร้างและให้บริการเดินรถ แต่มีความเป็นไปได้ว่ารูปแบบที่ 1 จะมีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะต้องเร่งรัดการดำเนินการให้ทันการก่อสร้างเดือนกันยายนนี้ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ ช่วงแรกจากกรุงเทพฯ-แก่งคอย-มาบตาพุด
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ