เนด้าเพิ่มบทบาทขับเคลื่อนเออีซีระหว่างประเทศ เร่งหารือเอดีบีสานต่อยอดโครงการเฟส 2 เชื่อมเมียนมาร์-สปป.ลาว-กัมพูชาให้สอดคล้องแผนยุทธศาสตร์ 5 เขตเศรษฐกิจพิเศษและโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงประตูการค้าชายแดน เล็งผนึกบีโอไอรุกขยายโอกาสการลงทุนกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ดัน 3 ผลงานชิ้นโบแดงจุดผ่านแดนสตึงบทโครงการไฟฟ้าหวังดึงงบประมาณเพิ่มปี 2558-59
นายเนวิน สินสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจ กับประเทศเพื่อนบ้าน(องค์การมหาชน): สพพ.หรือเนด้า เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานของเนด้าในปี 2558-2559 ว่าเน้นการเพิ่มบทบาทขับเคลื่อนเออีซีระหว่างประเทศภายหลังจากที่ได้สนับสนุนโครงการต่างๆทั้งด้านวิชาการและงบประมาณในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของไทยมาแล้วประมาณ 100 โครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเยือนหลายประเทศในภูมิภาคนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย
นอกจากนี้ยังเร่งหารือกับธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี)เพื่อให้การสนับสนุนโครงการต่างๆให้สามารถเชื่อมโยงในระยะที่ 2 ต่อเนื่องกันไปโดยเฉพาะโครงการในสหภาพเมียนมาร์ ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา) และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อต่อยอดโครงการต่างๆที่เนด้าให้การสนับสนุน ประกอบกับหลายโครงการยังเชื่อมโยงกับแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 5 แห่งที่รัฐบาลไทยและกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการเร่งผลักดันระบบโครงข่ายคมนาคมให้เกิดการเชื่อมโยงประตูการค้าชายแดนควบคู่กันไป
ปัจจุบันเนด้าให้ความช่วยเหลือการศึกษาความเป็นไปได้ และออกแบบรายละเอียด สำหรับโครงการพัฒนาจุดผ่านแดนถาวรสตึงบทและถนนเชื่อมโยงไปยังถนนหมายเลข 5 ของกัมพูชาให้สอดรับกับเขตเศรษฐกิจพิเศษอรัญประเทศเชื่อมโยงกับปอยเปตที่สามารถเดินทางควบคู่ไปกับการพัฒนาเส้นทางรถไฟ โดยเส้นทางนี้จะส่งเสริมการลงทุนระหว่างอุตสาหกรรมภาคตะวันออกของไทย-อุตสาหกรรมเขตเศรษฐกิจพิเศษปอยเปต/โอเนียง และนิคมอุตสาหกรรมโฮจิมินห์ หลังจากนั้นจะเร่งนำเสนอผลการศึกษาฯ แก่ สพพ. เพื่ออนุมัติประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน 2558
“สำหรับสปป.ลาวนอกเหนือจากโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสาบ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) ที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557 อนุมัติให้ สพพ. ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน 1,977 ล้านบาทไปแล้วยังให้ความสำคัญ
ต่อการพัฒนาสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 5 ที่บึงกาฬและแห่งที่ 6 ที่อุบลราชธานีซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปยังเวียดนามและจีนได้อีกด้วยโดยจะเกิดประโยชน์ด้านการขนส่งและท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งกรมทางหลวงอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษา ในส่วนเวียดนามนั้นยังมีโครงการศึกษาในการก่อสร้างประตูกั้นน้ำ Tan Thuan ในเมืองโฮจิมินห์ที่อยู่ระหว่างการอนุมัติผลการศึกษาและอนุมัติด้านการเงินเพื่อนำไปก่อสร้างต่อไป”
นายเนวินกล่าวอีกว่าสำหรับการเชื่อมโยงกับเมียนมาร์ที่เห็นได้ชัดมี 3-4 พื้นที่คือ อ.แม่สอด จ.ตาก ที่พบว่าปริมาณรายได้การค้าผ่านแดนเพิ่มขึ้นจาก 3 หมื่นล้านบาทเป็น 5 หมื่นล้านบาทในระยะไม่กี่ปี ขณะนี้กรมทางหลวงอยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการก่อสร้างถนนช่วงแม่สอด เมียวดี-กอกาเรก ใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยยังมีแผนที่จะก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 ให้เกิดการเชื่อมโยงอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีที่ด่านเจดีย์ 3 องค์ที่เชื่อมโยงกับเมืองพญาตองซูของเมียนมาร์ ตลอดจนด่านบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรีที่เชื่อมโยงกับท่าเรือน้ำลึกทวาย และด่านสิงขร จ.กาญจนบุรี ที่เชื่อมโยงกับเมืองมะริด อีกหนึ่งแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของเมียนมาร์ โดยภาคเอกชนได้มีการเสนอในการหารือร่วมกระทรวงการคลังเนื่องจากมีต้นทุนแฝงเพิ่มขึ้นจำนวนมาก พร้อมกับแนวทางการแก้ไขปัญหาแรงงาน การตั้งที่ตั้งด้านฐานการผลิตในประเทศ
“มองว่าเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษจะเป็นตัวเชื่อมโยงการพัฒนา ดังนั้นปี 2558 จึงจะเน้น 3 โครงการหลักคือการก่อสร้างช่วงพื้นที่เชื่อมโยงกับด่านสตึงบทของกัมพูชาและการรุกโครงการด้านไฟฟ้าที่เมียนมาร์และสปป.ลาวให้เห็นความชัดเจนเพื่อจะสร้างโอกาสในการขอขยายวงเงินเพิ่มให้มากกว่าปีที่ผ่านมา โดยปี 2557 ได้รับเพียง 675 ล้านบาทจากที่เสนอขอไปจำนวน 1,800 ล้านบาท ดังนั้นปี 2558-2559 จึงน่าจะได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก พร้อมกันนี้ยังจะเน้นสนับสนุนการสร้างเครือข่ายสายการผลิตของภาคเอกชนให้เกิดการเชื่อมโยงมากขึ้น โดยเฉพาะการเร่งหารือกับบีโอไอเพื่อสร้างโอกาสการลงทุน การเพิ่มบริการและการให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี ตลอดจนการแปรรูปผลิตภัณฑ์แก่ภาคเอกชนไทย”
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ