การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ(กนพ.) ครั้งที่ 1/2558 วานนี้(19 ม.ค.) เร่งออกมาตรการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 มีรายละเอียดดังนี้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่ากนพ.มีมติเห็นชอบให้ขยายพื้นที่การส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 จากเดิมที่อยู่ ในพื้นที่ 5 จังหวัด 6 ด่านชายแดน เพิ่มเป็น 6 จังหวัด โดยให้เร่งรัดการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษในจ.หนองคาย ขึ้นมาอยู่ในการพัฒนาระยะที่ 1 ด้วยเพื่อรองรับโครงการการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟขนาดปานกลางระหว่างไทยกับจีนที่จะเริ่มมีการก่อสร้างในปีนี้
“เป็นเส้นทางสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่าง จ.หนองคาย ไปยังเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว และทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งเป็นจุด เชื่อมโยงการขนส่งที่สำคัญของอาเซียน”
เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกของไทยใน 5 พื้นที่ชายแดน เพื่อให้สามารถก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างสมบูรณ์ในปี 2558 ตามมติเดิม คือแม่สอด อรัญประเทศ ตราด มุกดาหาร และสะเดา
สำหรับการพัฒนากิจการเป้าหมายที่จะมีการส่งเสริมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และ สศช.ทำงานร่วมกันเพื่อให้ การกำหนดกิจการพิเศษที่จะส่งเสริมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปีนี้ โดยกิจการพิเศษที่จะมีการส่งเสริมจะให้ประโยชน์สูงสุดเทียบเท่าการลงทุนในพื้นที่จังหวัดที่ยากจนที่สุด 20 จังหวัด และเท่ากับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
กิจการพิเศษที่จะมีการส่งเสริม 3 เรื่อง ในพื้นที่ คือ
1.อุตสาหกรรมผลิตและแปรรูปอาหารสัตว์ โดยในการบริหารสินค้าเกษตรได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปหารูปแบบการดำเนินการผ่านทางสหกรณ์ ที่อยู่ใกล้ชายแดนในการซื้อสินค้าเกษตรจากเพื่อนบ้านมาแปรรูปให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น รวมทั้งวางแผนการควบคุมปริมาณนำเข้าไม่ให้กระทบกับสินค้าเกษตรที่ผลิตในประเทศไทย
2.ศูนย์กลางการค้าและศูนย์การกระจายสินค้า 3.ร้านค้าปลอดอากร (duty free) ที่จะมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากมีการเดินทางไปมาระหว่างประชาชนของประเทศต่างๆ มากขึ้น
ทั้ง 3 กิจการนี้ไม่ได้อยู่ในรายชื่อการส่งเสริม ของบีโอไอแต่เป็นประเภทกิจการที่ได้มีการหารือกับภาคเอกชนทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) สภาหอการค้าไทย รวมทั้ง บริษัทเอกชนรายใหญ่ของไทย เช่นเครือ เจริญโภคภัณฑ์ เครือสหพัฒนพิบูล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) และบริษัทอมตะ คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ว่า เป็นกิจการที่มี ศักยภาพในการส่งเสริมส่วนกิจการที่จะทำให้ เขตเศรษฐกิจพิเศษเกิดได้รวดเร็ว คือกิจกรรม ที่เกี่ยวกับการค้าและการส่งเสริมการค้า
ด้านแผนการบริหารจัดการโครงสร้าง พื้นฐาน ที่ประชุมกนพ.เห็นชอบในหลักการ แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร ในปี 2557 – 2559 แบ่งเป็นงบประมาณปี 2558 จำนวน 45 โครงการวงเงิน 2,562 ล้านบาท ซึ่ง ได้มีการจัดสรรงบประมาณในปี 2558 ไว้แล้ว และในปี 2559 วงเงิน 7,924 ล้านบาท โดยมีโครงการทั้งหมดที่จะดำเนินการ 79 โครงการ
ด้านการบริหารจัดการได้กำหนดไว้ใน 2 ระดับ ได้แก่ คณะกรรมการระดับนโยบาย โดยให้ กนพ.เป็นผู้บริหารนโยบายมีฐานะเป็นคณะกรรมการระดับชาติ ที่มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายในการผลักดันนโยบายเรื่องต่างๆ ส่วนคณะกรรมการดำเนินการในระดับจังหวัด ขณะนี้ได้ประสานกับศูนย์ดำรงธรรมในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งจะสนับสนุนให้สำนักงานพาณิชย์ระดับจังหวัดมีส่วนช่วยในการผลักดันนโยบายนี้ด้วยโดยเฉพาะการจัดทำศูนย์ one stop service ในแต่ละพื้นที่ โดยบีโอไอ สศช. กระทรวงการต่างประเทศ และศูนย์ดำรงธรรมในการประสานงานในระดับจังหวัด
นอกจากนี้ที่ประชุม กนพ.ยังมอบหมายให้กระทรวงแรงงานไปเร่งรัดการวางกฎเกณฑ์การเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมายังประเทศไทยเพื่อรองรับการทำงานในอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้ความสำคัญเรื่อง การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวในลักษณะแรงงานไป-กลับให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านสาธารณสุขการศึกษาและความปลอดภัย
“สิทธิประโยชน์ตามที่บีโอไอได้รับการพิจารณาในเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีทั้งหมด 8 ข้อ แต่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะได้รับเพิ่มเติมคือจะให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เกิน 100% หมายความว่าสิทธิที่จะเอามาใช้ในการยกเว้นภาษีไม่เกิน 100% แต่บางกิจการอาจจะ มีการให้ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 100% ขึ้นอยู่กับประเภทกิจการ ส่วนกิจการที่อยู่ในประเภทกิจการที่จะสนับสนุนก็จะลดลงมา”
นอกจากนี้ในส่วนของการลดหย่อนภาษี เงินได้นิติบุคคลอีก 50%อีก 5 ปีจะเป็นส่วนที่ให้ เพิ่มเติมจากบีโอไอ รวมทั้งการละเว้นภาษีในการ นำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบบางรายการหรือ ผู้ประกอบการอาจจะไม่ไปขอสิทธิประโยชน์จาก บีโอไอ แต่ขอการสนับสนุนภาษีจากกระทรวงการคลังได้โดยกำหนดว่ากิจการที่ได้รับหย่อนภาษีนิติบุคคลจาก 20% เหลือ 10% ใน 10รอบบัญชีนับตั้งแต่ปีภาษีซึ่งเป็นการใช้สิทธิได้ในส่วน ของผู้ประกอบการที่ไม่ได้ขอบีโอไอ โดยมีเงื่อนไขว่า เป็นกิจการที่ตั้งใหม่ในพื้นที่ที่ กนพ.กำหนด และจะต้องดำเนินการได้ภายในปี 2560
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ