2สัปดาห์ที่ผ่านมา เมกะโปรเจ็กต์ระดับยุทธศาสตร์ หรือโครงการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ขึ้นมาเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ เริ่มขยับอย่างมีนัยสำคัญถึง 3 โครงการในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน 1.คือ คณะกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุมเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา อนุมัติโครงการเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) 4 โครงการคือ 1.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินอู่ตะเภามูลค่าการลงทุน 3.10 แสนล้านบาท 2.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 2.15 แสนล้านบาท 3.ท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3 มูลค่า 1.55 แสนล้านบาท 4.ท่าเรือมาบตาพุดระยะ 3 มูลค่า 1.01 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าการลงทุน 6.91 แสนล้านบาท และหารือโครงการรถไฟทางคู่เชื่อมสามท่าเรือ (แหลมฉบัง-สัตหีบ-มาบตาพุด มูลค่าการลงทุนอีก 6.4 หมื่นล้านบาท
การขยับครั้งที่ 2 คือคณะกรรมการร่วมจีซีซี ซึ่งเป็นคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา โครงการทวาย หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันตกจัดประชุมครั้งแรกในรอบ 2 ปี (ครั้งที่ 8) ที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา และที่ประชุมเห็นพ้องให้พัฒนาโครงการระยะแรกให้เห็นเป็นรูปธรรมออกมาโดยเร็ว และการขยับตัวครั้งที่ 3 คือ คณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทาง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ระยะที่ 1) ระยะทาง 253 กิโลเมตร มูลค่าลงทุน 1.79 แสนล้านบาท หลัง พล.อ. ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดล็อกโครงการเมื่อเดือนที่ผ่านมา เพื่อหวังนับหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานระบบรางให้ได้ภายในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้
++แผนฯลงทุน8ปี
การตั้งต้นพัฒนาเมกะโปรเจ็กต์ ยุทธศาสตร์ข้างต้น มาพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขึ้นมา รองรับ ซึ่งการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนมาตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก่อนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มาปรับเป็นแผน 8 ปี (2558-2565) มูลค่าการลงทุนรวม 1.91 ล้านล้านบาท โดยแยกเป็น 5 โครง การย่อย ประกอบด้วย แผนการพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง โครงการรถไฟฟ้าเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 3. เพิ่มขีดความสามารถทางหลวง 4.พัฒนาโครงข่ายขนส่งทางนํ้า และ 5.เพิ่มขีดความสามารถการขนส่งทางอากาศ โดยมีเป้าหมายหลัก อาทิ ลดต้นทุนโลจิสติกส์จาก 14.4% ต่อจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ในปัจจุบัน ให้เหลือ 2% ภาย ในปี 2570 ลดการเดินทางด้วยรถโดยสารส่วนตัวจาก 59% เหลือ 40% ในปี 2570 เป็นต้น
++หนี้…ไม่ใช่ปัญหา
แม้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมต่อเนื่องในช่วงเวลาพร้อมกัน ตลอดระยะเวลา 8 ปีข้างหน้า แต่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ยืนยันกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า “ไม่มีผลกระทบกับหนี้สาธารณะ” เขาขยายความว่า เนื่อง จากการก่อหนี้ได้ยืนตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่วางไว้ ส่วนใหญ่ (หนี้) เป็นการทยอยกู้ 5-7 ปี สูงสุดไม่เกิน 50% ต่อจีดีพี (กรอบความยั่งยืนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีต้องไม่เกิน 60% )
เช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าการก่อหนี้เพื่อลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จะไม่สร้างภาระการคลังในอนาคต แต่ประเด็นที่พวกเขากังวลคือ การลงทุนเมกะโปรเจ็กต์เหล่านั้น ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ คุ้มค่าหรือไม่ ?
++ผลตอบแทนทางศก. โจทย์ใหญ่
ก่อนหน้าคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบโครงการรถไฟไทย-จีนเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของโครงการเป็นโจทย์ที่ถูกนำมาถกกันอย่างกว้างขวาง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ออกมาแถลงในประเด็นนี้หลังครม.มีมติเห็นชอบโครงการโดยยอมรับว่า โครงการนี้ผลตอบแทนทางการเงินตํ่าแต่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ อาคม อธิบายว่า โครงการรถไฟไทย-จีนจะมีผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในเชิงกว้าง โดยการพัฒนาที่ดินของร.ฟ.ท.รอบสถานี นครราชสีมา-ปากช่อง-สระบุรี ทำให้ eirr ของโครงการอยู่ที่ 8.56% เมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรอบจากการเติบโตของเมืองอยู่ที่ 11.68%
อะไรคือผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ? ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้าเจ้าหน้าที่กลยุทธ์องค์กร ธนาคารทหารไทย ขยายความว่า การมองความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจจากการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ คือผลที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวม มีผลให้เกิดเป็นภาษีกลับมายังรัฐ ส่วนความคุ้มทุนนั้น อาจมองจากความคุ้มทุนช่วงลงทุน เช่นมีการจ้างงานในระยะยาวหรือไม่ และมีความคุ้มทุนในระยะยาวอย่างไร “ส่วนโครงการรถไฟไทย-จีนแผนขนส่งชัดแต่แผนเศรษฐกิจที่จะทำให้โครงการคุ้มค่าผมยังไม่เห็น”
วันนี้โครงการรถไฟไทย-จีน นับหนึ่งอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยฝันของรัฐบาลจะใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับเส้นทางสายไหมยุคใหม่ของจีน โยงไปสู่โลก และจะดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่การคาดการณ์ว่าการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์หลัก “มูลค่านับล้านล้านบาท” ในช่วง 8 ปีข้างหน้าจะเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประเทศ ยังต้องรอการพิสูจน์ และเมกะโปรเจ็กต์ที่จะทยอยตามโครงการรถไฟไทย-จีนออกมา คงถูกตั้งคำถามเดียวกันว่า คุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ และจะช่วยมูลค่าเพิ่มให้ประเทศได้อย่างไร? เป็นคำถามที่รัฐบาล มีหน้าที่ให้คำตอบ ไม่ใช่ผลักภาระให้ประชาชนไปเสี่ยงโชค ลุ้นคำตอบในอนาคตกันเอง
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ