ชัดเจนแล้วสำหรับโครงการพัฒนาระบบรางในปี 2558 ภายหลัง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม
ออกมายืนยันอย่างสม่ำเสมอว่าจะเป็นปีแรกที่เริ่มมีการประกวดราคาและก่อสร้างระบบรางเพิ่มเติมอีกหลายสาย เพื่อช่วยเชื่อมโยงการเดินทางให้ครอบคลุมทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศมากขึ้น
โครงการที่กระทรวงคมนาคมตั้งเป้าหมายจะต้องลงมือก่อสร้างให้ได้แน่ๆ คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.2 กิโลเมตร ที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้เปิดประกวดราคาจนได้เอกชนที่เสนอราคาต่ำสุดแล้วรวม 4 สัญญา
ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างงานโยธา ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 12 กิโลเมตร การก่อสร้างงานโยธา ช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 7.5 กิโลเมตร การก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดแล้วจร และงานออกแบบควบคุมการก่อสร้างระบบราง คาดว่าจะตอกเสาเข็มได้ในเดือนมิถุนายน 2558 แล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการได้ในปี 2562
นอกจากนี้ ยังมีโครงการรถไฟฟ้าที่จะเปิดประกวดราคาก่อนลงมือก่อสร้างอีก 3 สาย คือ
1.รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแครายมีนบุรี ระยะทาง 36 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) เชื่อมโยงการเดินทางจากรอบนอกเข้ากับเส้นทางรถไฟฟ้าสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ โดยจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ที่แคราย เข้าสู่ถนนแจ้งวัฒนะปากเกร็ด ผ่านเมืองทองธานี ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เชื่อมกับระบบรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ที่แยกหลักสี่และเชื่อมกับระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิตสะพานใหม่ บริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ จากนั้นก็วิ่งไปบนถนนรามอินทราจนถึงทางแยกมีนบุรี ไปเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงมีนบุรี-ตลิ่งชัน
2.รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-พัฒนาการ-สำโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยวเช่นเดียวกัน เส้นทางจะอยู่ในแนวถนนลาดพร้าวจนถึงแยกบางกะปิ จากนั้นแนวเส้นทางจะเบนไปทิศใต้ตามถนนศรีนครินทร์เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงมีนบุรี-ตลิ่งชัน ที่แยกลำสาลี ผ่านแยกต่างระดับพระราม 9 เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ไปถนนเทพารักษ์จนถึงจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่งสมุทรปราการ ที่สถานีสำโรง
และ 3.รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ระยะทาง 20 กิโลเมตร เป็นช่วงแรกของรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน จะดำเนินการในระยะต่อไป
ด้านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่จะประกวดราคาและก่อสร้าง คือ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 21.8 กิโลเมตร โดยจะเชื่อมต่อจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ที่ให้บริการในปัจจุบันที่สถานีพญาไท ผ่านบางซื่อไปยังดอนเมือง โดยจะเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเข้าด้วยกัน ยังมีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อหัวลำโพง ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายที่เป็นรถไฟดีเซล ช่วงบางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก ระยะทาง 19 กิโลเมตร จะก่อสร้างในปีนี้เช่นเดียวกัน โดยทั้ง 3 เส้นทางดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการพร้อมกัน เพราะต้องใช้อุโมงค์ใต้ดินร่วมกันบริเวณทางผ่านหน้าสวนจิตรลดา
ขณะเดียวกันยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ที่สำคัญอีกหลายสายในปี 2558 มี 2 เส้นทางที่จะก่อสร้างได้ก่อน คือ 1.เส้นทางชุมทางจิระ (นครราชสีมา)-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กิโลเมตร และ 2.ประจวบคีรีขันธ์ชุมพร ระยะทางประมาณ 167 กิโลเมตร ซึ่งผ่านรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้ว
นอกจากนี้ยังมีโครงการเร่งด่วนตามแผนการดำเนินงานโครงการลงทุนพัฒนาด้านการขนส่งปี 2558 คือ การก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นทางฉะเชิงเทรา-คลอง 19-แก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการประกวดราคา เส้นทางลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร เส้นทางมาบกะเบาชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร เส้นทางนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร โดยอยู่ระหว่างนำเสนอขออนุมัติรายงานผล กระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมระยะทางที่จะก่อสร้างช่วงแรก 903 กิโลเมตร
ตามกำหนดจะเริ่มดำเนินโครงการได้ทั้งหมดในปี 2558 และทยอยแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2561-2563
ขณะที่ระยะ 2 ซึ่งจะเริ่มศึกษา และออกแบบรายละเอียดในปีงบประมาณ 2558 มี 8 เส้นทาง คือ เส้นทางหัวหินประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กิโลเมตร เส้นทางปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 285 กิโลเมตร เส้นทางชุมทางถนนจิระอุบลราชธานี ระยะทาง 309 กิโลเมตร เส้นทางขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 174 กิโลเมตร เส้นทางชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 167 กิโลเมตร เส้นทางสุราษฎร์ธานีสงขลา ระยะทาง 339 กิโลเมตร เส้นทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร และเส้นทางเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 217 กิโลเมตร รวมระยะทางรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 อยู่ที่ 1,626 กิโลเมตร
ยังมีโครงการที่ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษอีกหนึ่งโครงการ คือ การก่อสร้างรถไฟทางคู่รางมาตรฐาน (สแตนดาร์ดเกจ) ขนาด 1.435 เมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า สามารถวิ่งให้บริการได้ด้วยความเร็ว 160-180 กิโลเมตร ที่ไทยจะได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับจีนแล้วเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 คือ เส้นทางหนองคายโคราช-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด ระยะทางประมาณ 734 กิโลเมตร และเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ ระยะทางประมาณ 133 กิโลเมตร รวมระยะทาง 867 กิโลเมตร
โดยมีรายละเอียดเอ็มโอยูที่สำคัญ คือ รัฐบาลไทยตกลงให้รัฐบาลจีนเข้ามีส่วนร่วมดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558-2565 โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐานในเส้นทางดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการทางคู่ขนาดมาตรฐานโครงการแรกของไทย
ทั้ง 2 ฝ่ายจะใช้ความร่วมมือ ในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ฝ่ายจีนจะรับผิดชอบก่อสร้างและพัฒนาระบบรถไฟเส้นทางดังกล่าว สำหรับการสนับสนุนเงินลงทุนและการชำระเงินลงทุนจะมีการหารือกันต่อไป ขณะที่ฝ่ายไทยตกลงให้ฝ่ายจีนเข้ามามีส่วนร่วมในโอกาสแรกที่เป็นไปได้ ในขั้นตอนการเตรียมการของโครงการ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ และจะพยายามให้เริ่มการก่อสร้างได้ภายในปี 2559
ส่วนการประเมินมูลค่าโครงการให้เป็นการหารือระหว่างไทยกับจีน รวมทั้งให้องค์กรที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของ 2 ฝ่ายเป็นผู้ประเมิน ขณะเดียวกันให้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารร่วมขึ้นใหม่ชุดหนึ่ง เพื่อกำกับดูแลการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ สำหรับไทยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานร่วม ส่วนจีนให้ผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติเป็นประธานร่วม
การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับที่ใช้อยู่ในประเทศคู่ภาคี ในกรณีที่สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ขัดหรือแย้งกับบันทึกความเข้าใจใดๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรถไฟที่ลงนามระหว่างปี 2554-2556 ให้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีผลเหนือกว่า และให้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ 5 ปี นอกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร 6 เดือนล่วงหน้า
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากเอ็มโอยูดังกล่าวแล้ว ภายในปี 2558 ไทยและจีน จะต้องมีการศึกษาออกแบบและสรุปการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จทั้งหมด เพื่อจะเริ่มก่อสร้างให้ได้ในปี 2559
หากการก่อสร้างครบทุกสายแล้ว มั่นใจว่าการเดินทางของประชาชนจะสะดวกมากขึ้นอีกหลายเท่า ที่สำคัญยังจะกระจายความเจริญออกไปยังทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยด้วย เพราะที่ผ่านมาภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มออกไปพัฒนาที่ดินดักรอระบบรางตามจุดต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเป็นจำนวนมากแล้ว
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน