อีกครั้งที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเข้าไปตรวจเยี่ยมและประชุมติดตามการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา เหตุผลการมาครั้งนี้เพื่อแสดงความยินดีกับกระทรวงคมนาคมที่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ตามเป้า ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการลงทุนที่สูงขึ้นไม่เพียงเท่านั้น ยังมอบนโยบายให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไปเร่งรัดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนโครงการ EEC อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมโยง 3 ท่าอากาศยาน ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา โครงการรถไฟทางคู่ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และโครงการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง เพื่อรองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวมทั้งขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการค้าและการลงทุนของภูมิภาค
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
หลักการสำคัญคือให้บริหารจัดการแหล่งเงินทุนให้มีความเหมาะสม เพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐ เช่น การให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม (Public Private Partnership : PPP) การออกพันธบัตร การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future fund) เป็นต้นคาดว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) จะใช้ระยะเวลาในการศึกษาแนวเส้นทางอีกราว3 เดือนหากรวมกับโครงการรถไฟทางคู่ โครงการไอซีดีลาดกระบัง และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3แล้วซึ่งโครงการเหล่านี้จะถือเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล และจะต้องเปิดประกวดราคาให้ได้ภายในปีนี้เช่นกัน
ประการสำคัญยังให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทเน้นพัฒนาเส้นทางสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่น และการท่องเที่ยวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าชุมชนในรูปแบบสถานีริมทาง (Roadside Station) อีกทั้งให้เร่งรัดการดำเนินงานโครงการที่สำคัญต่าง ๆ ของกระทรวงฯ อาทิ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ (ด้านตะวันตก) โครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟฟ้า ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โครงการความร่วมมือรถไฟไทย – จีน โครงการพัฒนาท่าเรือจุกเสม็ดและท่าเรือแหลมฉบัง โครงการพัฒนาท่าเรือเฟอร์รี่เชื่อมอ่าวไทยตอนบน โครงการปรับปรุงระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นต้น โดยให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ
ติดเทอร์โบศก.ไทย ‘สมคิด’จี้คมนาคมเร่งโครงข่ายเชื่อมอีอีซี
++ญี่ปุ่นสนไฮสปีดเทรน
ในส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ยืนยันว่าญี่ปุ่นมีความสนใจ ไม่เช่นนั้นทางญี่ปุ่นคงไม่ศึกษาร่วมกับไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน และไม่อยากให้วัดการก่อสร้างเส้นทางนี้ด้วยงบประมาณการลงทุน แต่อยากให้วัดถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไทยจะได้รับในอนาคต ขณะที่รถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-หัวหิน ขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) เป็นผู้พิจารณาเสนอคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ(คณะกรรมการพีพีพี) เห็นชอบต่อไป
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางที่มีปัญหาเรื่องร่างเอกสารการจัดซื้อจัดจ้าง(ทีโออาร์)ในช่วงที่ผ่านมา คาดว่าจะได้ตัวผู้รับเหมาทั้งหมดไม่เกินเดือนกันยายนนี้ ยืนยันว่าไม่มีการล็อคสเปค เช่นเดียวกับกรณีปัญหาเรื่องการบินไทยกับนกแอร์ให้กระทรวงฯ หารือร่วมกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อสรุปแนวทางการดำเนินงานภายหลังจากที่ บริษัท การบินไทยฯ ไม่เพิ่มทุนใน บริษัท นกแอร์ จำกัด (มหาชน) โดยให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว โดยได้เน้นย้ำให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าไปแก้ไขปัญหาในเรื่องทิศทางของการบินไทยว่าจะเพิ่มทุนหรือไม่ในสภาวะที่นกแอร์ยังประสบผลการขาดทุน และหากไม่เพิ่มทุนนกแอร์จะดำเนินธุรกิจเองหรือหาหุ้นส่วนเพิ่ม ซึ่งในเรืองนี้การบินไทยต้องตัดสินใจว่าจะเพิ่มทุนหรือไม่และไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาถามรองนายกรัฐมนตรีในการบริหาร แต่การบินไทยต้องฉลาดในการบริหาร เนื่องจากนกแอร์ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทางกระทรวงคมนาคมคงทำได้เพียงแค่เข้าไปหารือในเรื่องเชิงนโยบาย และจะดำเนินการหารือให้เร็วที่สุดเท่านั้น
เรียกได้ว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ทั้งโปรยยาหอม ทั้งเร่งทั้งดันขนาดนี้ หวังว่าสิ้นปีนี้กระทรวงคมนาคมคงจะสามารถไล่บี้หน่วยงานในสังกัดสร้างผลงานให้รองนายกรัฐมนตรีได้ปลาบปลื้มใจไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาลให้เห็นผลชัดเจนมากกว่าปัจจุบันส่วนจะทำสำเร็จได้มากน้อยขนาดไหนนั้นยังคงต้องลุ้นกันอีก 3 เดือนก่อนเข้าสู่ปีงบประมาณ 2561
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ