เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 ปี ประเทศไทยจะเข้าสู่การเปิด “เออีซี-ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ที่ผ่านมาภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มเปิดเกมรุกขยายการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียม-จัดสรรตามเมืองหน้าด่านชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน
บางรายขยายการลงทุนในอาเซียน เพื่อให้ภาคธุรกิจอสังหาฯเตรียมพร้อมกับการเปิดเออีซี
เมื่อเร็ว ๆ นี้ “นิด้า-สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์” จัดสัมมนาถอดรหัสลับการลงทุนอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐานใน CLMV : กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม เพื่อไขรายละเอียด
กลุ่มประเทศ CLMV ศักยภาพสูง
โดยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “ดร.ทนง พิทยะ” ชี้ให้เห็นศักยภาพของประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV เริ่มจาก “สหภาพเมียนมาร์” มีจุดเด่นเรื่องทรัพยากรธรรมชาติมากและกำลังปฏิรูป
เศรษฐกิจและการเมือง “กัมพูชา
ค่าแรงไม่สูงและให้สิทธิพิเศษกับนักลงทุนต่างชาติจูงใจกว่าชาติอื่น ๆ ในอาเซียน “สปป.ลาว” มีศักยภาพเรื่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำถึง 2 หมื่นเมกะวัตต์ และ “เวียดนาม” เป็นฐานการผลิตใหม่และเศรษฐกิจเติบโตปีละ 7% สูงที่สุดในอาเซียน
ตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มประเทศ CLMV อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและเศรษฐกิจ จากสังคมนิยมมาเปิดรับทุน นิยมมากขึ้น มีการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานของประเทศ จึงต้องการเม็ดเงินจาก ต่างประเทศ หากนักลงทุนไทยสามารถหารูปแบบการลงทุนที่วิน-วิน และวางตัวเป็นพาร์ตเนอร์พร้อมจะลงทุนระยะยาวจะได้รับการต้อนรับที่ดี
ขณะที่ “ศิริพร นุรักษ์” ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ “บีโอไอ” ระบุว่า ปัจจุบันมีคนไทยลงทุนในต่างประเทศมูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้ลงทุนในอาเซียนมากที่สุด เมื่อจำแนกตามประเภทธุรกิจ พบว่าการลงทุนภาคอสังหาฯมีเพียง 1% บีโอไอจึงกำหนดให้ธุรกิจอสังหาฯ วัสดุก่อสร้าง รับเหมา และการออกแบบ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะสนับสนุน
แนะเทคนิคลงทุนเมียนมาร์
ขณะที่ “อุกฤษฎ์ มูสิกพันธ์” ผู้อำนวยการส่วนบริหารงานการค้าบริการ สำนักการค้าบริการและการลงทุน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ย้ำว่าการเข้าไปลงทุน ในต่างประเทศ ต้องเข้าใจกฎหมายระหว่างประเทศและกฎเกณฑ์การลงทุนในประเทศนั้น ๆ โดยการลงทุนอสังหาฯในกลุ่ม CLMV ยังมีข้อจำกัดห้ามต่างชาติถือครองที่ดิน ต้องเป็นสิทธิการเช่าหรือมีพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น
ส่วน “เน ลิน” ผู้บริหารจาก “แกรนด์ กราซี” ผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในเมืองย่างกุ้ง ให้ข้อมูลว่า เมียนมาร์กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มทุนต่างชาติลงทุน อสังหาฯมากที่สุด เช่น โรงแรม คอนโด มิเนียม สำหรับนักลงทุนที่สนใจต้องเข้ามา รูปแบบนิติบุคคล หลักเกณฑ์มีการจดทะเบียน ตั้งบริษัท 4 แบบ ได้แก่ 1.บริษัทของคนเมียนมาร์ จดทะเบียนจัดตั้งโดยคนสัญชาติเมียนมาร์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป 2.บริษัท ต่างชาติที่เข้าไปตั้งสาขา ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% แต่ต้องประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
3.บริษัทร่วมทุนเมียนมาร์-ต่างชาติ ไม่กำหนดสัดส่วนการถือหุ้น มีสิทธิ์ประกอบกิจการได้ 49 รายการ และ 4.กิจการร่วมค้า เป็นการร่วมทุนของบริษัทต่างชาติกับบริษัทในเมียนมาร์ ต่างชาติถือหุ้นได้สูงสุด 60% บางกิจการต่างชาติถือหุ้นได้สูงสุด 80% เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเกษตร เป็นต้น
แนะหาพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น
หลังจากตั้งบริษัทเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาต้องขออนุญาตจาก MIC-Myanmar Investment Commission หน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายบีโอไอของไทย เพื่อขออนุมัติประกอบธุรกิจ ส่วนการครอบครองของต่างชาติต้องเช่าเท่านั้น
สำหรับดีเวลอปเปอร์ที่จะเข้าไปพัฒนาคอนโดฯเพื่อขาย จะต้องร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น โดยตกลงผลประโยชน์และทำสัญญารูปแบบการแบ่งผลประโยชน์เมื่ออาคารสร้างเสร็จ ขณะที่การก่อสร้างอาคารในเมียนมาร์ ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามประเภทอาคาร การมีพาร์ตเนอร์จะช่วยให้สะดวกขึ้น
คำถามทิ้งท้ายแบบยิงตรงประเด็น ทำธุรกิจในเมียนมาร์ต้องจ่ายใต้โต๊ะหรือไม่ ! “เน ลิน” ระบุว่า ปัจจุบันการจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะในเมียนมาร์ลดลงมาก หลังจากรัฐบาลประกาศเรื่องหลักธรรมาภิบาลตั้งแต่ปี’55 ก็เอาจริงกับมาตรการนี้มาก
ถ้าเข้ามาลงทุนแบบถูกต้องไม่คิดจะหลบเลี่ยงภาษี ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ