แบงก์เร่งสปีดรักษาฐานลูกค้า รับมือลูกค้าสินเชื่อบ้านแห่โยกหนี้ ขอรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่นหนี “ดอกเบี้ยลอยตัว” หลังผ่านช่วงดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก แบงก์ออมสิน-ธอส.-ไทยพาณิชย์ ชี้ลูกค้าไหลออกเพียบ ธนาคารต้องปรับกลยุทธ์เฉือนกำไรเสนอโปรฯพิเศษลดดอกเบี้ยบ้านต่อปีที่ 4 ลดลง ฟาก “ออมสิน” เตรียมปรับแผนออกโปรดักต์ใหม่เน้น “ดอกเบี้ยลอยตัว” รับมือดอกเบี้ยขาขึ้นลูกค้าขอรีไฟแนนซ์บ้านพุ่ง
นายชาติชายพยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า แนวโน้มการขอรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านของลูกค้าธนาคารปีนี้ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะลูกค้าต้องการลดค่าใช้จ่ายจากภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เพราะหลังจากลูกค้าผ่อนครบ 3 ปี จะเปลี่ยนเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ขณะเดียวกันจากแนวโน้มดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาขึ้น พบว่ามีลูกค้ามาขอรีไฟแนนซ์มากขึ้น เพื่อคุมต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะการย้ายไปธนาคารอื่น ๆ เพื่อไปหาดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าธนาคารออมสินทั้งปกติลูกค้าสินเชื่อบ้านของออมสินที่ไหลไปธนาคารอื่น ๆ อยู่ที่ราว 10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่ามากหากเทียบกับการเข้ามาขอรีไฟแนนซ์จากธนาคารอื่น ๆ มาอยู่กับออมสินเพียง 2,000-3,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าปีนี้ก็น่าจะเห็นยอดรีไฟแนนซ์เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามธนาคารก็มีการเตรียมแผนรับมือการไหลออกของลูกค้าสินเชื่อบ้านเช่นกัน โดยลูกค้าสินเชื่อบ้านเมื่อผ่านปีที่ 3 หากมาขอรีไฟแนนซ์ไปแบงก์อื่น ธนาคารจะยื่นข้อเสนอปรับลดดอกเบี้ยให้ แต่ 1 ปีเท่านั้น เพราะการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารถือเป็นต้นทุนที่ธนาคารต้องแบกรับ อีกทั้งยังไม่สร้างกำไรให้กับธนาคารอีกด้วย
“ต้องยอมรับว่าสำหรับการปล่อยกู้สินเชื่อบ้าน3 ปีแรก ธนาคารมักขาดทุนจากการลดดอกเบี้ยให้ลูกค้า และจะเริ่มอยู่ตัวในปีที่ 4 และมีกำไรในปีที่ 5 ดังนั้นหากลูกค้าย้ายออกจากธนาคารหลังผ่านปีที่ 3 ธนาคารก็มีโอกาสขาดทุน ดังนั้นเราก็ต้องยื้อลูกค้าบ้าง โดยลดดอกเบี้ยในปีที่ 4 แต่หากพ้นปีที่ 4 มาขออีกก็ไม่ให้แล้ว ก็ต้องยอมปล่อยไป เพราะต้นทุนเหล่านี้สูง สิ่งที่ธนาคารต้องทำเพื่อไม่ให้ขาดทุน คือการเร่งปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่ให้ได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท จึงจะสามารถรักษาต้นทุนและมีกำไรได้บ้าง” นายชาติชายกล่าว
แบงก์ยื่นโปรฯพิเศษรักษาลูกค้า
ด้านนายฉัตรชัยศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีลูกค้าธนาคารเข้ามาขอรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านกับธนาคารค่อนข้างมาก โดยเริ่มเห็นสถานการณ์ขอรีไฟแนนซ์เริ่มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งการรีไฟแนนซ์ออกไปธนาคารอื่น หรือขอรีไฟแนนซ์จากธนาคารอื่น ๆ มาอยู่กับ ธอส. โดยเข้าและออกเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 500-700 ล้านบาท ใกล้เคียงกัน ก็ถือเป็นการปรับตัวของลูกค้าบ้านที่ต้องการหนี้ต้นทุนดอกเบี้ยสูง เมื่อผ่อนชำระเกิน 3 ปี หรือผ่านพ้นช่วงโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำ ธนาคารจึงต้องปรับตัวเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ให้มากที่สุด เช่น การปรับลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ที่ผ่อนบ้านเกิน 3 ปี หรือการให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มขึ้น กรณีที่ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมีการขอสินเชื่อต่อเติมบ้าน หรือต้องการสินเชื่อใช้ในด้านต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าอยู่กับเราแล้วคุ้มกว่า เมื่อเทียบกับที่จะย้ายไปธนาคารอื่น ๆ ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอนต่าง ๆ อีก
นายฉัตรชัยกล่าวว่า ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ลูกค้ามีการตื่นตัวมากขึ้นในการรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน เพราะหากดอกเบี้ยปรับขึ้น หากสินเชื่อบ้านของลูกค้าเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ลูกค้าก็จะได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้นการรีไฟแนนซ์เพื่อให้ได้โปรโมชั่นดอกเบี้ยคงที่ช่วงแรก ก็ทำให้ลูกค้าได้รับผลกระทบลดลง
“ขณะที่แบงก์ก็ต้องปรับตัวโดยเฉพาะการออกสินเชื่อบ้านต่าง ๆ ต้องเปลี่ยนมากำหนดดอกเบี้ยเป็นลอยตัว เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น และไม่ต้องแบกรับต้นทุนดังกล่าวไว้เอง เช่น การออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัวตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ดอกเบี้ยคงที่เหมือนในอดีต” นายฉัตรชัยกล่าว
นางสาวจามรี เกษตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สถานการณ์การขอรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านของธนาคารเพิ่มขึ้นเช่นกันหากเทียบกับปีก่อนหน้า หากดูยอดรีไฟแนนซ์บ้านในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา พบว่ามีลูกค้าแบงก์อื่นเข้ามาขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารราว 5,000 ล้านบาท ขณะที่ลูกค้าธนาคารย้ายออกไปอยู่ธนาคารอื่นราว 2,000-3,000 ล้านบาทต่อปี
“ปกติแล้วทุกธนาคารก็ต้องพยายามรักษาฐานลูกค้าซึ่งวิธีที่ธนาคารใช้ในปัจจุบันก็เช่น การลดดอกเบี้ยให้กับลูกค้าดีที่เริ่มผ่อนเกินปีที่ 3 ทำให้ลูกค้าไม่อยากไปไหน สถานการณ์ที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์เห็นมากขึ้นตั้งแต่ปีก่อน ส่วนใหญ่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยคงที่เป็นลอยตัว”
ขณะที่นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณลูกค้ามาขอรีไฟแนนซ์เพิ่มขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังไม่ได้ปรับขึ้นจริง ในส่วนของลูกค้าที่โยกมาจากแบงก์อื่น ๆ ก็ยังไม่เห็นสัญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเช่นกัน เพราะในส่วนของดอกเบี้ยแต่ละแบงก์ยังไม่ได้ปรับขึ้นเท่าไหร่
รีฟินน์ฯเสนอรีไฟแนนซ์ทุกสินเชื่อ
ส่วนนางสาวนิลทิตาเลิศเรืองศุภกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอท คอม เปิดเผยถึงสถานการณ์การขอรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านว่า จากที่ลูกค้าสินเชื่อบ้านที่เข้ามากรอกข้อมูลในเว็บรีฟินน์ เพื่อขอรีไฟแนนซ์สินเชื่อจากธนาคารต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกของรีฟินน์ฯในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,365 คน หากเทียบกับช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 มีเพียง 1,290 คน
การเข้ามากรอกข้อมูลในเว็บรีฟินน์ฯเป็นการสะท้อนว่าระยะนี้ลูกค้าให้ความสนใจขอรีไฟแนนซ์สินเชื่อมากขึ้น เพราะต้องการลดภาระจ่ายดอกเบี้ยบ้าน หลังหมดช่วงโปรโมชั่น 3 ปี โดยคาดว่าปีนี้ยอดขอรีไฟแนนซ์ผ่านรีฟินน์ฯน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5,000-10,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดการอนุมัติสินเชื่อผ่านรีฟินน์ฯ 2,000-3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ นอกจากรีฟินน์ฯจะช่วยหาข้อเสนอดอกเบี้ยให้ลูกค้าสินเชื่อบ้านที่ถูกที่สุดแล้ว ล่าสุดธนาคารยังออกโปรดักต์ใหม่ที่ร่วมกับธนาคารพาณิชย์กว่า 7 แห่ง เพื่อทำโปรแกรมล้างหนี้ให้ลูกค้า จากการไปรีไฟแนนซ์หนี้ทั้งหมด โดยเอาบ้านมาเป็นหนี้หลักแทน เช่น ลูกค้ามีหนี้รถ หนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรกดเงินสด ฯลฯ โดยนำหนี้ทุกอย่างมารวมกันเพื่อทำให้หนี้เป็นก้อนเดียวกัน โดยใช้บ้านเป็นมูลหนี้หลัก วิธีนี้จะทำให้ลูกหนี้สามารถลดภาระดอกเบี้ยที่เคยจ่ายสูงถึงกว่า 20% มาจ่ายดอกเบี้ยเพียง 5-9% เท่านั้น ตอนนี้เรา MOU กับธนาคารพาณิชย์ไปแล้ว 7 แห่ง คาดว่าจะนำโปรดักต์นี้มาใช้ใน เม.ย.นี้
สำรวจดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านของธนาคารต่าง ๆ ล่าสุด อาทิ ธนาคารออมสิน แบบที่ 1.ดอกเบี้ยพิเศษ 3 ปีแรก คงที่ 4.50% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยลอยตัว MRR-0.75% (ต้องซื้อประกันชีวิตคุ้มครองวงเงิน) แบบที่ 2.ดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.25% ปีที่สอง ดอกเบี้ยลอยตัว MRR-2.0% ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยลอยตัว MRR-0.75%
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปีแรกดอกเบี้ยคงที่ 3.5% ปีที่สอง 4.75% ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยลอยตัว MRR-0.50% ธนาคารกสิกรไทย มี 7 แพ็กเกจ อาทิ แบบที่ 1 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1 ปีแรก 2.95% แบบที่ 2 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 4.85% แบบที่ 3 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก 5.50% ทั้ง 3 แบบหากหมดช่วงเวลาที่กำหนด ดอกเบี้ยจะปรับขึ้นเป็นลอยตัวเฉลี่ยตลอดอายุสัญญา MRR-0.75% เป็นต้น
ธนาคารกรุงไทย ดอกเบี้ยปีแรกคงที่ 3.25% หลังจากนั้นเป็นลอยตัว MLR-0.25%, ธนาคารทหารไทย แบบที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 1-3 ปีแรก อยู่ที่ 3.99% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยลอยตัวที่ MRR-2.275% (ลูกค้าต้องซื้อผลิตภัณฑ์ธนาคาร อาทิ ประกันคุ้มครองชีวิตต่าง ๆ) แบบที่ 2 ดอกเบี้ย 3 ปีแรก 4.50% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยลอยตัว MRR-2.025%, ธนาคารกรุงเทพ ดอกเบี้ยปีแรกคงที่ 2.99% ปีที่สอง ลอยตัว MRR-1% และปีที่ 3 MRR-1.25% ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย แบบที่ 1 ดอกเบี้ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 3.49% ปีที่ 4 เป็นต้นไป เป็นดอกเบี้ยลอยตัว MRR-2.25% (ต้องซื้อผลิตภัณฑ์เงินฝาก-ประกัน) แบบที่ 2 ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก 3.79% จากนั้นดอกเบี้ยลอยตัว MRR-2.25% และธนาคารไทยพาณิชย์ ปีแรกดอกเบี้ยคงที่ 3.99% จากนั้นลอยตัว MRR-1.5%