กระทรวงพลังงาน กำลังใจจดใจจ่อ กับการพิจารณาข้อกฎหมายของร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่…) พ.ศ….และร่างพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบบที่…) พ.ศ. …ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่รอลุ้นกันว่าในวันที่ 30 มีนาคม นี้จะมีการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในวาระ 2 และ 3 หรือไม่ ก่อนจะประกาศให้มีผลใช้บังคับต่อไป
เนื่องจากขณะนี้มีความล่าช้ามาแล้ว ซึ่งหากยังลากกันต่อไป อาจจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า วิกฤติด้านพลังงานของประเทศกำลังใกล้จะมาถึงในระยะอันใกล้นี้ เพราะกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ จะนำไปใช้กับการเปิดประมูลแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุในปี 2565-2566 ของแหล่งเอราวัณ ของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และแหล่งบงกช ของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เพื่อให้การผลิตก๊าซธรรมชาติเกิดการต่อเนื่อง ซึ่งทั้ง 2 แห่งนี้ถือเป็นแหล่งใหญ่ผลิตก๊าซฯในอ่าวไทยได้กว่า 2,000 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
หากกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ผ่านการพิจารณาของสนช.ได้จริงภายในเดือนเมษายนนี้ ก็ยังต้องมีขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ กว่าจะไปสู่การเปิดประมูลได้
เปิดรับฟังความเห็นกฎหมายรอง
โดยนายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ชี้ให้เห็นว่า หากร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับผ่านการพิจารณาของสนช.แล้ว จะต้องไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้กฎหมายมีผลใช้บังคับ และจะต้องมีกฎหมายรอง ซึ่งกรมจะต้องไปจัดทำรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมในร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับ และ 1 ประกาศ ออกมารองรับ ประกอบด้วย ประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดรูปแบบการให้สิทธิแต่ละแปลงว่าจะใช้ระบบใด และจะมีกฎกระทรวงอีก 5 ฉบับ มารองรับอีก
ประกอบด้วย กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข และการได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต พ.ศ….(ม.53/1) 3.กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข และการได้มาซึ่งผู้รับสัญญาจ้างสำรวจและผลิต พ.ศ….(ม.53/9) 4.กฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต พ.ศ….(ม.53/2) 5.กฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาจ้างสำรวจและผลิต พ.ศ….(ม.53/10) และ6.กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข และระยะเวลาในการให้ผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตนำส่งค่าภาคหลวงแก่รัฐ พ.ศ….(ม.53/6) เพื่อรองรับระบบพีเอสซีและเอสซี
เมื่อผ่านการรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการปิโตรเลียมเห็นชอบแล้ว จะต้องนำเสนอผู้บริหารของกระทรวงเป็นลำดับไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวง ไปจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และหลังจากนั้นส่งให้กฤษฎีกาตรวจร่าง เสนอกลับมาให้ครม.เห็นชอบ และส่งกลับมาให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานลงนามในประกาศกระทรวงและกฎกระทรวงต่อไป ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวนี้คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนนับตั้งแต่เปิดรับฟังความเห็น
ออกทีโออาร์ประมูล
หลังจากนั้น จะเข้าสู่การขั้นตอนประกาศเชิญชวนเอกชนเข้ามาร่วมประมูลหรือเปิดขายทีโออาร์การประมูล ระหว่างนี้จะเปิดให้เอกชนที่ซื้อซองประมูลไปแล้ว สามารถเข้ามาดูข้อมูลด้านธรณีของทั้ง 2 แหล่งได้ เพื่อนำไปสู่การยื่นการประมูล และติดสินหาผู้ชนะ ซึ่งจะต้องใช้เวลาประมาณอีก 7 เดือน หากเป็นไปตามนี้ ก็เข้าใจว่าจะได้ผู้ชนะการประมูลราวเดือนธันวาคมปีนี้เป็นอย่างช้า
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทางสนช.จะสามารถประกาศกฎหมายทั้ง 2 ฉบับภายในเดือนมีนาคมนี้ได้หรือไม่ เพราะหากต้องเลื่อนออกไปอีก จะกระทบขั้นตอนการดำเนินงานดังกล่าว ซึ่งหมายความว่าการการจะตัดสินหาผู้ชนะการประมูลต้องเลื่อนออกไปด้วย ซึ่งกระทรวงพลังงานกำลังเป็นห่วงในเรื่องนี้อยู่ เพราะจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ที่จะเข้ามาประมูล เนื่องจากจะไม่สามารถวางแผนการผลิตปิโตรเลียมล่วงหน้า 4 ปีก่อนสัมปทานจะหมดอายุได้ และจะกระทบต่อการผลิตก๊าซ ที่ต่อเนื่องจากทั้ง 2 แหล่ง
สุดท้ายคงต้องวัดใจสนช.ว่าจะพิจารณาข้อกฎหมายออกมาในรูปแบบใด และจะมีการเลื่อนประกาศใช้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับออกไป หรือไม่ โดยมีเรื่องของความมั่นคงด้านพลังงานเป็นเดิมพัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ