บลจ.บางกอกแคปปิตอลฯ เตรียมออกกองทุนอีทีเอฟลงทุนหุ้นไทย 6 กองทุนรวด ช่วงครึ่งปีหลัง ชูกลยุทธ์ลงทุนหลากสไตล์ ยังไม่มีในไทย ประเดิมหุ้นValue ราคาตํ่ากว่ามูลค่าจริง
นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล จำกัด เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 บริษัทมีแผนออกกองทุนอีทีเอฟลงทุนในหุ้นไทย จำนวน 6 กองทุน แยกตามกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งยังไม่มีในประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนจากปัจจุบันบริษัทมีเพียงกองทุนเปิด BCAP MSCI Thailand ETF ซึ่งลงทุนในหุ้นชั้นนำของไทยที่เป็นผู้นำธุรกิจในอุตสาหกรรมในประเทศ
สำหรับกองทุนแรกที่จะนำเสนอในปีนี้ ได้แก่ กองทุนอีทีเอฟที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Investing เน้นลงทุนหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก โดยใช้งานวิจัยของบริษัทคัดเลือกหุ้นและร่วมมือกับกับสถาบันต่างประเทศสร้างดัชนีอ้างอิงเพื่อให้กองทุนลงทุน
“บริษัทศึกษารูปแบบกองทุนอีทีเอฟในต่างประเทศซึ่งลงทุนหลากสไตล์หลายแบบสามารถนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนในไทยได้ เช่น กลยุทธ์ Value Investingกลยุทธ์ Trading Styleแต่บางกลยุทธ์อาจต้องหารือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)และตลาดหลักทรัพย์”นายธนาวุฒิ กล่าว
นายธนาวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาระบบโดยใช้ของCharles River ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ Front Office เพื่อการลงทุนระดับโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและสะดวกรวดเร็วให้ผู้จัดการกองทุนในการบริหารพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ คาดว่าภายในไตรมาส 2 น่าจะเสร็จ
อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการจะทำให้กองทุนอีทีเอฟได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยอาจต้องใช้เวลา ขณะที่กองทุนอีทีเอฟที่จะออกใหม่ลงทุนหุ้นทั้งหมด บริษัทจึงจะขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวงเป็นหลัก โดยโฟกัสกลุ่มลูกค้าเล่นหุ้นอยู่แล้ว โดยมีนักวิเคราะห์ให้มุมมองการลงทุนและข้อมูลต่อเนื่องนอกจากนี้ปี 2561 มีแผนออกกองทุนอีทีเอฟลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ไทย,ตราสารหนี้ต่างประเทศเพื่อสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของบริษัทที่ต้องการทำให้กองทุนอีทีเอฟเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการลงทุนอย่างครบถ้วน ซึ่งนักลงทุนสามารถนำมาจัดพอร์ตการลงทุนได้สมบูรณ์ จากข้อดีของกองทุนอีทีเอฟมีต้นทุนค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป
นายธนาวุฒิ กล่าวว่า ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงและกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ใกล้เคียงกันประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยกองทุนส่วนบุคคล ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าสถาบัน บริษัทประกันและมูลนิธิ ซึ่งบริษัทยังไม่ได้ทำการตลาดต้องรอระบบให้เสร็จก่อนปีนี้จึงโฟกัสที่ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้งชีพ เพราะไม่ต้องรอระบบ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นบริษัทเอกชนขนาด 200-500 ล้านบาท สามารถเลือกลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบางกอกแคปปิตอล (BCAP PVD) ที่เป็นนายจ้างเดียวหรือหลายนายจ้างได้และมีนโยบายการลงทุนแบบสมดุล (Life Path) ให้เลือก
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีได้ไปนำเสนอข้อมูลและจุดเด่นของกองทุนอีทีเอฟซึ่งมีค่าธรรมเนียมต่ำยิ่งลงทุนระยะยาวเห็นข้อแตกต่างชัดเจนเมื่อเทียบกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมถึงผลงานบริหารกองทุนที่ผ่านมาอยู่ในอันดับต้นๆ ทำให้บริษัทใหม่ๆ ตัดสินใจเข้ามาใช้บริการเพิ่ม
“จุดเด่นของบริษัทที่ต่างจากบลจ.อื่น อยู่ที่การลงทุนในหุ้นโดยตรงทั้งในและต่างประเทศโดยไม่ผ่านกองทุนรวม ขณะที่บลจ.อื่นส่วนใหญ่จะลงทุนในกองทุนรวมอีกทอดหนึ่งจึงเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนและหากลงทุนต่างประเทศก็จะซื้อกองทุนอีทีเอฟ ส่งผลให้ผลตอบแทนโดยรวมทำได้ดีกว่าตลาด”นายธนาวุฒิ กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ