“คาร์มาร์ท” เพิ่มดีกรีบุกต่างประเทศเท่าตัว เน้นหนักอาเซียน-จีน-ไต้หวัน รับกำลังซื้อความงามโตสะพรั่งทั่วภูมิภาค-รสนิยมคล้ายไทย พร้อมปรับกลยุทธ์รับมือตลาดในประเทศ ตั้งทีมซื้อ/วางแผนสื่อเอง หวังเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ก่อนเดินหน้าโปรโมตแบรนด์รอง-แตกแบรนด์ใหม่เจาะตลาด “ผู้ชาย” เล็งเปิดตัวกลางปีนี้
นายพงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากที่คาร์มาร์ทสามารถสร้างแบรนด์และยอดขายในประเทศได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว มองว่าธุรกิจยังสามารถเติบโตได้อีกมาก จากโอกาสในการเข้าไปทำตลาดประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เออีซี รวมไปถึงประเทศอื่นในเอเชีย เนื่องจากสไตล์ ความชอบ และรสนิยมของคนในภูมิภาคนี้มีความใกล้เคียงกัน ตลอดจนเทรนด์ของการให้ความสำคัญกับการดูแลภาพลักษณ์ ความสวยความงามก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในปีนี้จะเพิ่มน้ำหนักการเข้าไปบุกตลาดจีน หลังจากที่เข้าไปตั้งออฟฟิศเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมในการขาย ช่องทาง รวมถึงการขอ อย.ให้กับสินค้าที่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 1 ปีในการจดทะเบียน โดยจะเน้นในการเข้าไปขายผ่านโมเดิร์นเทรดในระยะแรก นอกจากนี้ยังขยายตลาดไปยังฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เน้นพื้นที่ที่เป็นเกาะหลัก โดยไปกับโมเดิร์นเทรด เช่น ร้านวัตสัน พร้อมกับเล็งเข้าไปในไต้หวันเพิ่มเร็ว ๆ นี้
ส่วนประเทศที่เข้าไปทำตลาดแล้ว อาทิ ซีแอลเอ็มวี หรือกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ก็จะเพิ่มกิจกรรม การสื่อสารทางการตลาดเข้าไปมากขึ้น เช่น ใช้พรีเซ็นเตอร์ของเมืองไทย เข้าไปสร้างการรับรู้ตราสินค้า ตลอดจนใช้บล็อกเกอร์ หรือศิลปินในท้องถิ่นนั้น ๆ ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ไปด้วยอีกทาง ทั้งนี้ได้ตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศในปีนี้จะเติบโตเท่าตัว หรือมีสัดส่วน 20% ของรายได้ทั้งหมด จากปีที่ผ่านมาที่มีอยู่ 10%
สำหรับตลาดในประเทศได้ปรับกลยุทธ์เพื่อมาโฟกัสการสื่อสารในช่องทางออนไลน์ รวมถึงสื่อนอกบ้านมากขึ้น รับกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อของคนรุ่นใหม่ โดยโยกงบฯที่ใช้ในสื่อออฟไลน์อย่างทีวีซี นิตยสาร ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มคนดูน้อยลง ทำให้สัดส่วนของออนไลน์ปีนี้เพิ่มเป็น 50% และออฟไลน์ 50% จากก่อนหน้าที่จะใช้ออฟไลน์เป็นหลัก โดยจะเน้นไปที่การทำวิดีโอคอนเทนต์ สื่อสารแบบง่าย ๆ กับตัวสินค้า และใช้พรีเซ็นเตอร์ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีทั้งดารา เซเลบริตี้ บล็อกเกอร์ ฯลฯ ที่มีคนรู้จักจำนวนมาก รวมถึงบล็อกเกอร์หน้าใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และสร้างความแปลกใหม่ในการกระตุ้นการจับจ่ายของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังตั้งฝ่ายที่ดูแลเรื่องการซื้อสื่อตลอดจนการวางแผนสื่อด้วยตัวเอง ภายใต้แผนกประชาสัมพันธ์และการตลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน เพราะไม่ต้องผ่านคนกลาง โดยเริ่มการเข้าไปดูแลการซื้อสื่อแรพรถเมล์ในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีรถเมล์ที่เข้าไปดูแลเอง 200 คัน สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายจากการซื้อผ่านเอเยนซี่ถึง 50% ซึ่งในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะเข้าไปดูแลจัดการในช่องทางอื่น ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนด้านของสินค้าจะเพิ่มการโปรโมตสินค้าโอว์นแบรนด์ที่ไม่ใช่แบรนด์หลักอย่างเคที ดอลล์ มากขึ้น อาทิ “เบบี้ ไบรท์” ที่เด่นเรื่องส่วนผสมจากธรรมชาติ มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทั้งผิวหน้า ผิวกาย เครื่องสำอาง บำรุงเส้นผม ฯลฯ” รื่นรมย์” สินค้าสปาสไตล์ไทย เด่นในเรื่องของกลิ่นที่หลากหลาย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “เครยอน” เครื่องสำอางสำหรับมืออาชีพ ช่างแต่งหน้า ฯลฯ โดยทั้งหมดได้เริ่มวางจำหน่ายในปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการทำตลาดมากนัก
นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัวแบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางของผู้ชายในช่วงกลางปีรองรับดีมานด์ในการดูแลตัวเองของผู้ชายและเพศที่ 3 ที่มากขึ้น เพราะตลาดสินค้าผู้ชายยังมีแบรนด์ที่ทำตลาดไม่มากจึงเป็นโอกาสของแบรนด์ใหม่ ๆ ที่จะเข้าไปเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภคเพิ่มเติม
ทั้งนี้ได้ตั้งเป้ายอดขายว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยยอดขายของบริษัทในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เติบโต 21%
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ