กกพ.วางแผนแก้ปัญหาระยะยาวกรณี ก๊าซธรรมชาติแหล่งเมียนมา “ยาดานา-เยตากุน-ซอติก้า” หยุดซ่อมประจำปีการผลิตไฟฟ้า 6,400 MW ด้วยการดึงโรงไฟฟ้ากังหันแก๊สขนาดเล็ก ของ กฟผ.มาสแตนด์บาย เป็นโรงไฟฟ้า Peaking Plant เดินเครื่องเฉพาะกิจช่วงหน้าร้อน 3 เดือน รวม 1,250 MW แต่ต้องจ่ายค่าไฟ 5 บาท/หน่วยแม้ว่าประเทศไทยจะผลิตก๊าซธรรมชาติจากในอ่าวไทยถึงร้อยละ 80 แต่ปริมาณก๊าซที่ผลิตได้ก็ไม่สามารถรองรับความต้องการใช้ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะก๊าซที่ต้องป้อนให้กับโรงไฟฟ้า ส่งผลให้ประเทศไทยต้องนำเข้าก๊าซจากประเทศเมียนมา ประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 จากแหล่งก๊าซยาดานา เยตากุน และซอติก้า เพื่อส่งก๊าซผ่านท่อให้กับโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคตะวันตก อย่างไรก็ตามในทุก ๆ ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี แหล่งผลิตก๊าซดังกล่าวก็จะต้องมีการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังผลิตไฟฟ้า ประมาณ 6,400 เมกะวัตต์(MW) จากโรงไฟฟ้าในภาคตะวันตก
โดยวิธีการจัดการปัญหาแหล่งก๊าซเมียนมาหยุดซ่อมบำรุงในทุกปีของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ก็คือ 1) การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าใช้น้ำมันเตาและดีเซลเพื่อผลิตไฟฟ้าทดแทน
แต่ก็มีต้นทุนสูงและกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ของผู้ใช้ไฟฟ้าในรอบถัดมา กับ 2) การใช้มาตรการความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้า หรือ Emergency Demand Response Program (EDRP) จากผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรม โดยล่าสุด กกพ.ได้เพิ่มแรงจูงใจผู้ประกอบการที่ลดการใช้ไฟด้วยการให้เงินชดเชยที่ 3 บาท/หน่วย และวางเป้าหมายว่าจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ 400 MW แต่วิธีจัดการปัญหาทั้ง 2 วิธีข้างต้นเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแบบปีต่อปี ส่งผลให้ กกพ.เริ่มหาแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวต่อไป
นายไกรสีห์ กรรณสูต คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในระยะยาว กกพ.ได้เตรียมแนวทางรองรับผลกระทบจากการหยุดซ่อมก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศเมียนมา ด้วยการนำโรงไฟฟ้ากังหันแก๊ส รวมกำลังผลิต 1,250 MW ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ หรือ PDP (Power Development Plan 2015) ฉบับปัจจุบันมาใช้เป็นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเสริมระบบเฉพาะช่วงหน้าร้อน 3 เดือน (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) ก่อน โดยโรงไฟฟ้ากังหันแก๊สที่จะนำมาเสริมในระบบ เรียกว่า “โรงไฟฟ้า Peaking Plant” เพื่อรองรับความต้องการใช้สูงสุด (Peak) ในช่วง 14.00-16.00 น.เท่านั้น ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะกระจายอยู่ทั่วประเทศใน 6 พื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง เช่น พื้นที่มีโรงงานอุตสาหกรรม “แต่อัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 บาท/หน่วย”
อย่างไรก็ตาม การนำเอาโรงไฟฟ้าแบบ Peaking Plant มาใช้เสริมระบบ ขั้นตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างศึกษาและรอประเมินผล มาตรการร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้า (EDRP) ว่า จะมีภาคเอกชนสนใจเข้าร่วมหรือไม่ ซึ่งในกรณีที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่าเป้าหมายในอนาคตอาจจะมีการปรับลดการสร้างโรงไฟฟ้า Peaking Plant จากแผนได้ อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้ากังหันแก๊สดังกล่าว กฟผ.จะลงทุนอยู่ที่ประมาณ 500,000 เหรียญ/MW โดยกำลังผลิตดังกล่าวจะผลิตไฟฟ้าเข้าระบบในช่วงท้ายของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
“โรงไฟฟ้า Peaking Plant ของ กฟผ.จะมีกำลังผลิตอยู่ที่ไม่เกิน 250 MW/โรง จะเน้นให้เสริมความมั่นคงในระบบกรณีที่กำลังผลิตภาพรวมกับดีมานด์ใช้ไฟฟ้าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งการใช้กำลังผลิตของ กฟผ.ในส่วนนี้จะทำให้สามารถสั่งการหรือควบคุมโหลดไฟฟ้าในแต่ละช่วงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่จะให้ภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ” นายไกรสีห์กล่าว
ด้าน นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี รองผู้ว่าการกิจการสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ตามแผน PDP ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ระบุกำลังผลิตในส่วนของโรงไฟฟ้ากังหันแก๊สไว้รวม 5 โรง รวมกำลังผลิตใหม่ประมาณ 1,250 MW ซึ่งก่อนหน้านี้ กฟผ.มีโรงไฟฟ้าขนาด 250 MW อยู่แล้ว เช่น ในพื้นที่หนองจอกและ อ.ไทรน้อย แต่บางโรงก็ได้ปลดออกจากระบบ ขณะที่เครื่องผลิตไฟฟ้าบางส่วนก็ได้ถูกย้ายมาติดตั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี (โรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีกำลังผลิต 234 MW) เพื่อเป็นโรงไฟฟ้าสำรอง (Back Up) รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น
เมื่อพิจารณากำลังผลิตของโรงไฟฟ้ากังหันแก๊สยูนิตที่ 1 ของ กฟผ.ที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง จะเริ่มทยอยเข้าระบบโรงแรกในปี 2577 หลังจากนั้นโรงไฟฟ้ากังหันแก๊สยูนิตที่ 2-4 จะเข้าระบบในปี 2578 และยูนิตที่ 5 จะเข้าระบบในปี 2579 ซึ่งทั้งหมดเข้าระบบในช่วงท้ายของแผน PDP ส่วนในกรณีที่มาตรการความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าไม่ประสบผลสำเร็จและอาจจะมีการผลักดันโรงไฟฟ้าในรูปแบบ Peaking Plant ให้เข้าระบบเร็วกว่าแผน PDP ที่วางเอาไว้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของกระทรวงพลังงาน
“โรงไฟฟ้ากังหันแก๊สอยู่ในช่วงท้ายแผน PDP แต่ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดได้ เพราะแผน PDP มีการทบทวนได้หากมีปัจจัยที่มากระทบอย่างมีนัยสำคัญ เช่น โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ไม่สามารถเข้าระบบได้ทัน หรือเศรษฐกิจขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ แต่ถ้ามองจากสถานการณ์ปัจจุบันปริมาณสำรองไฟฟ้าค่อนข้างสูง อาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะเร่งโครงการใหม่ ๆ ให้เร็วขึ้น”
รายงานข่าวเพิ่มเติมจาก กกพ.ระบุว่า กกพ.ได้ดำเนินการจัดสัมมนามาตรการขอความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซในเมียนมา โดยเชิญภาคเอกชนมารับทราบเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดจากผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับจนส่งผลกระทบต่อการผลิต ซึ่ง กกพ.จะเดินสายให้ข้อมูลและรับสมัครเข้าร่วมมาตรการในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม และจังหวัดราชบุรี โดยวางเป้าหมายการเข้าร่วมสูงสุดที่ 400 MW
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ