กรมสรรพสามิตคาดว่า ในเร็วๆนี้พระราชบัญญัติสรรพสามิตฉบับ พ.ศ. … ที่กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการเสนอขอแก้ไขกฎหมายจะมีผลบังคับใช้โดยสาระสำคัญคือรวมเอากฎหมายที่ใช้อยู่เดิม 6-7 ฉบับ รวมเป็นพระราชบัญญัติเหลือเพียงฉบับเดียว และเปลี่ยนวิธีการคำนวณภาษีจากราคาหน้าโรงงานสำหรับสินค้าทั่วไป ราคาขายส่งสุดท้าย สำหรับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และสินค้านำเข้าคิดบนราคา CIF มาเป็นฐานราคาขายปลีกแนะนำทั้งหมด
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ให้สัมภาษณ์“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หลักการในการยกร่างพระราชบัญญัติสรรพสามิตฉบับใหม่ ก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใสตามหลักสากล โดยเฉพาะช่วยลดกระบวนการทำงา
นตลอดจนลดดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากการคำนวณภาษี เป็นการใช้ฐานราคาขายปลีกแนะนำกรณีที่เป็นการจัดเก็บภาษีเดิมแล้ว
จุดอ่อนของกฎหมายฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ สินค้านำเข้าบางอย่างราคาไม่สะท้อนราคาที่แท้จริง โดยเฉพาะระบบราคา CIF หรือราคาระบบราคาแกตต์ ทำให้เกิดการเขย่งกันในเรื่องราคา ที่สำคัญยังเป็นระบบที่ยุ่งยากในการคำนวณ
ดังนั้นโครงสร้างการเสียภาษีใหม่นี้จึงใช้สูตรการคำนวณภาษีบนฐานราคาแนะนำ เพียงนำจำนวนคุณด้วยอัตราภาษี ก็จะทราบว่าจะต้องเสียในอัตราเท่าใด แนวทางดังกล่าวเป็นไปตามหลักสากล ทุกตัวสินค้าจะใช้หลักการเดียวกันทั้งหมด
เดิมทีการคิดภาษีจะใช้ราคาหน้าโรงงานสำหรับสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ส่วนราคาซีไอเอฟสำหรับสินค้านำเข้าพบปัญหาว่า สินค้านำเข้าการสำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าความเป็นจริง 20-30% เมื่อถอยกลับมาใช้การคิดภาษีบนราคาขายปลีกก็จะใช้ก็จะทำให้การเก็บภาษีอยู่บนฐานเดียวกัน เนื่องจากราคาขายปลีกจะต้องบวกกำไรมาตรฐาน บวกค่าขนส่ง แน่นอนว่าจะต้องสูงกว่าราคาหน้าโรงงานและสูงกว่าราคา CIF อัตราภาษีจึงจำเป็นต้องถอยลงมาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
ส่วนจะเป็นอัตราเท่าไหร่จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 6 เดือนหรือ 180 วันซึ่งกรมสรรพสามิตก็พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการขณะนี้กรมสรรพสามิตมีแผนงานอยู่แล้วซึ่งจะต้องหารือร่วมกันระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ทำงานร่วมกันตลอด
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงข้อกังวลว่า อาจมีผู้ผลิตอ้างการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต โดยใช้ราคาขายปลีกแนะนำไปปรับขึ้นราคาสินค้า นั้น ยืนยันว่า การยกร่างพระราชบัญญัติสรรพสามิตครั้งนี้มติคณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าการปรับครั้งนี้ต้องไม่เป็นการสร้างภาระให้ผู้ประกอบการ นั่นจึงหมายถึงว่า ค่าภาษีเมื่อคำนวณออกมาแล้วผู้ประกอบการจะต้องจ่ายหรือเสียภาษีใกล้เคียงกับการคิดภาษีแบบเดิม ในเมื่อฐานการคำนวณสูงขึ้นกรมก็จะปรับลดอัตราภาษีลง ขณะที่เมื่อคำนวณดูแล้วก็จะใกล้เคียงหรือพอๆกับของเดิม เช่น เคยจ่ายอยู่ที่ 100 บาท อัตราภาษีใหม่ก็จะใกล้เคียงกับ 100 บาทเช่นกันเพิ่มขึ้นแต่ก็เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้นจะอ้างเพื่อปรับขึ้นราคา ถือว่าไม่สมเหตุสมผล
“แต่หากจะป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตสวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐจะต้องเข้ามาเข้ามาตรวจสอบว่าโดยเฉพาะหากเป็นสินค้าควบคุมนั้นมีผู้ผลิตรายใดสวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าหรือไม่”
ขณะนี้กรมสรรพสามิตเตรียมการที่จะเข้าไปสำรวจตลาดว่าสินค้าแต่ละตัวแต่ละอย่างราคาที่ขายกันอยู่ในท้องตลาดนั้นเป็นอย่างไรเพื่อส่วนหนึ่งใช้สำหรับเป็นฐานข้อมูลซึ่งจะต้องสำรวจให้แล้วเสร็จก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้สถานที่เก็บข้อมูลหลักจะเน้นไปที่ร้านสะดวกซื้อรวมถึงห้างสรรพสินค้า
ส่วนการเก็บภาษีความหวานขณะนี้กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบการกำหนดอัตราภาษีดังกล่าวตามนโยบายของรัฐบาลการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตด้านความหวาน จำเป็นจะต้องพิจารณาบนความเหมาะสมเนื่องจากเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มรวมถึงภาคการเกษตรหรือชาวไร่อ้อย
สำหรับเป้าจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตปีนี้อยู่ที่ 5.5 แสนล้านบาท แม้ 3 เดือนแรกจะยังต่ำกว่าเล็กน้อย แต่คาดว่าหลังจากนี้การจัดเก็บภาษีเริ่มทรงตัวและมีอัตราเร่งเพิ่มขึ้น คาดว่าทั้งปีการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตไม่น่าจะมีปัญหาหากเศรษฐกิจไทยโต3-4% การท่องเที่ยวดีขึ้น การบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้น จะทำการจะเก็บภาษีมากขึ้นตามไปด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ