“ดิ เอราวัณ กรุ๊ป” ติดใจโมเดลใหม่ “2 แบรนด์โรงแรมในอาคารเดียว” สุดเวิร์ก !ลุยลงทุนผุดอีก 2 โครงการภายใต้ 4 แบรนด์ดังของเชนแอคคอร์ บนทำเล “สุขุมวิท” เผยแผนปี′61-63 พร้อมทุ่มงบฯลงทุนเพิ่มอีก 6.9 พันล้านลุยเปิดโรงแรมใหม่ต่อเนื่องทั้งในไทย-ฟิลิปปินส์ คาดสิ้นปี′63 มีโรงแรมรวม 95 แห่ง รวมห้องพักกว่าหมื่นห้อง
นางกมลวรรณ วิปุลากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากเปิดให้บริการโมเดลโรงแรม 2 แบรนด์ระดับกลางและราคาประหยัด (มิดสเกลและอีโคโนมี) ในอาคารเดียวกัน อย่างโรงแรมเมอร์เคียวและไอบิส สยาม ขนาดรวม 378 ห้องพัก เมื่อธันวาคมปี 2555 ซึ่งลงทุนไปประมาณ 800-900 ล้านบาท พบว่าผลตอบรับดีมาก สามารถลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการขายได้มากขึ้น
“2 แบรนด์ในอาคารเดียว” เวิร์ก
ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จึงวางแผนลงทุนสร้างโรงแรมภายใต้โมเดลนี้เพิ่มอีก 4 โรงแรม 4 แบรนด์ ใน 2 แห่ง บนโลเกชั่นถนนสุขุมวิท แห่งแรกคือ โรงแรมโนโวเทล และไอบิส สไตล์ซอยนานา (สุขุมวิท 4) ขนาดรวม 318 ห้องพัก ใช้งบฯลงทุนรวม 900 ล้านบาท เตรียมเปิดให้บริการในไตรมาส4 ปี 2561 และแห่งที่ 2 โรงแรมเมอร์เคียวและไอบิส สุขุมวิท 24 ขนาดรวม 500 ห้องใช้งบฯลงทุนรวม 1,500 ล้านบาท เป็นโครงการใหญ่ที่สุดภายใต้การลงทุนในโมเดลนี้ มีกำหนดเปิดให้บริการไตรมาส 4 ปี 2562
นางกมลวรรณกล่าวว่า โมเดล 2 แบรนด์โรงแรมในอาคารเดียว ถือเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทเคยทำที่สยาม และประสบความสำเร็จ เพราะใช้ที่ดินซึ่งอยู่ในโลเกชั่นที่มีทราฟฟิกมากได้อย่างเต็มศักยภาพ สร้างผลผลิตห้องพักในตัวอาคารสูงขนาด 400-500 ห้องให้ได้มากที่สุด และยังช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และขายห้องพักได้ในราคาที่ลูกค้าให้ความสนใจมากกว่าการขายห้องพักแบบแบรนด์โรงแรมเดียวราคาเดียว
“โมเดลนี้จะเป็นเครื่องยนต์สำคัญช่วยทำรายได้ให้เราเติบโตต่อไป เพราะไอบิสที่สยามเป็นไอบิสที่ทำราคาขายได้สูงที่สุดในไทย มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยตลอดปีที่ 90%” นางกมลวรรณกล่าว และว่าเบื้องต้นคาดว่าทั้ง 4 โรงแรมดังกล่าวบนถนนสุขุมวิท จะมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80% ภายใน 3 ปีแรกที่่เปิดให้บริการ โดยคาดว่าโนโวเทลจะขายห้องพักได้ในระดับ 3,000 บาทต่อคืน ส่วนเมอร์เคียว 2,500 บาทต่อคืน และแบรนด์ตระกูลไอบิส 1,600 บาทต่อคืน
สำหรับงบฯลงทุนทั้งหมดในปี 2560 วางไว้ที่ 2,200 ล้านบาท แบ่งเป็นงบฯที่นำไปทยอยลงทุนใน 4 โรงแรมดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วน 30% ส่วนอีก 26% เป็นการลงทุนในโรงแรมฮ็อป อินน์ในประเทศไทยอีก 12 แห่ง ส่วนอีก 6 แห่งในฟิลิปปินส์ คาดใช้งบฯลงทุนในสัดส่วน 28% ที่เหลืออีก 16% นำไปพัฒนาสินทรัพย์อื่น ๆ ทำให้รวม ๆ แล้วในปีนี้มีจำนวนโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 22 แห่งทั้งในไทยและฟิลิปปินส์ คิดเป็น 2,680 ห้องพัก
เผยปี′61-63 ลงทุน 6.9 พันล้าน
ส่วนแผนลงทุนในอีก 3 ปีข้างหน้า ระหว่างปี 2561-2563 ใช้งบฯลงทุนราว 6,900 ล้านบาท จากแผนแม่บทการลงทุน กรอบระยะเวลา 5 ปีของบริษัท (2559-2563) ซึ่งวางเป้าหมายใช้งบฯลงทุนรวมทั้งหมดที่ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในไทยมากที่สุด 55% ฟิลิปปินส์ 30% และสำหรับการพัฒนาสินทรัพย์อีก 15%
โดยโรดแมปในปี 2563 ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จะมีโรงแรมทั้งหมด 95 แห่ง หรือมากกว่า 10,000 ห้องพัก แบ่งเป็นโรงแรมในระดับลักเซอรี่ มิดสเกล และอีโคโนมี 25 แห่ง, โรงแรมแบรนด์ฮ็อป อินน์ 50 แห่งในประเทศไทย และอีก 20 แห่งเป็นโรงแรมในฟิลิปปินส์ มีทั้งฮ็อป อินน์และแบรนด์อื่น ๆ
ลุยหนักแบรนด์ “Hop Inn”
สำหรับแผนขยายแบรนด์ฮ็อป อินน์นั้นจะรุกสร้างเครือข่ายฮ็อป อินน์ในไทยให้มากขึ้น เนื่องจากในเซ็กเมนต์โรงแรมบัดเจตยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ ๆ เป็นการแข่งขันกับผู้ประกอบการโรงแรมในต่างจังหวัดมากกว่า บริษัทจึงมุ่งลงทุนเพื่อขยายจำนวนโรงแรมให้ครอบคลุมจังหวัดต่าง ๆ ในไทยมากที่สุด โดยในสิ้นปี 2560 นี้จะมีฮ็อป อินน์ในไทยทั้งหมด 30 แห่ง จากปัจจุบัน 22 แห่ง และขยับเพิ่มเป็น 50 แห่งทั้งในไทยและต่างประเทศในปี 2563 วางงบฯลงทุนเฉพาะแบรนด์นี้ทั้งหมดที่ 3,000 ล้านบาท
ส่วนแผนขยายโรงแรมในต่างประเทศหลังเริ่มต้นด้วยการปักธงโรงแรมฮ็อป อินน์แห่งแรกในฟิลิปปินส์ ที่กรุงมะนิลา เมื่อธันวาคมปี 2559 ไปแล้วนั้น พบว่าโรงแรมแห่งนี้มีอัตราเข้าพักในช่วงเริ่มต้นอยู่ที่ 70% และมีกำหนดเปิดให้บริการในอีก 5 แห่งแถบกรุงมะนิลา ภายในปี 2562 กระจายตามโลเกชั่นที่มีศักยภาพ
อาทิ Makati, Aseana, Alabang, Quezon City และ Ortigas สำหรับเหตุผลที่เข้าไปลงทุนในฟิลิปปินส์ นอกจากรัฐบาลใหม่จะมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนแล้ว ยังเห็นพัฒนาการการเติบโตที่ดีของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ และเมืองที่น่าสนใจ ไม่ได้มีแค่มะนิลา ยังมีเซบูและดาเวาอีกด้วย
“ตามแผนลงทุนโรงแรมในฟิลิปปินส์ 20 แห่ง ภายในปี 2563 บริษัทไม่ได้จำกัดแค่แบรนด์ฮ็อป อินน์เท่านั้น แต่มองการนำแบรนด์ระดับมิดสเกลและอีโคโนมีเข้าไปขยายด้วยขนาดโรงแรมและราคาที่แตกต่างจากไทย อย่างฮ็อป อินน์ในไทย ขนาด 75-79 ห้องพักต่อแห่ง ขายได้คืนละ 550 บาท แต่ฮ็อป อินน์ในฟิลิปปินส์ ขนาดต่อแห่งอยู่ที่ 140-200 ห้องพัก บางโลเกชั่นมีมากกว่า 200 ห้องพัก สามารถขายได้สูงกว่าราคาในไทย โดยราคาพอ ๆ กับไอบิสในไทย”
สำหรับเป้าหมายผลการดำเนินงานปีนี้ดิ เอราวัณ กรุ๊ป มั่นใจว่าจะมีรายได้เติบโต 10% จากปีที่แล้ว ปิดตัวเลขรายได้ไปที่ 5,611 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6% โดยรายได้ห้องพักน่าจะเติบโตที่ 10% รายได้อาหารและเครื่องดื่มเติบโต 8% และคาดว่ารายได้ต่อห้องพักน่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 7% ในปีนี้ ส่วนผลกำไรปีที่แล้วปิดที่ 367 ล้านบาท เติบโต 88% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สูงสุดในช่วง 10 กว่าปีที่บริษัทขยายงานมา
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ