แก้ปัญหาที่ไม่พอสร้างบ้านรองรับย้ายบ้านริมคลองคิดทำสร้างเป็นตึกให้อยู่แทน ล่าสุดยังมีบ้านรุกคลองดื้อไม่ยอมย้ายออกแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ สั่งทุกเขตเร่งทำความเข้าใจกับชาวบ้าน หากยังดื้อเตรียมใช้ประกาศคณะปฏิวัติจัดการติดประกาศแจ้งก่อน 15 วันไม่รื้อ กทม.เข้ารื้อได้ทันที
นายจักรพันธ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการกับรื้อย้ายบ้านรุกคลองลาดพร้าวขณะนี้กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการไปแล้วหลายจุดอาทิ ชุมชนสะพานไม้ 2 ชุมชนหลังสมาคมไทยญี่ปุ่น ชุมชนวังหิน ชุมชนวิทยาลัยครูจันทรเกษม ชุมชนร่วมใจพัฒนากลาง ชุมชนกสบ.หมู่ 5 และชุมชนพัฒนาหมู่ 1 โดยตนได้กำชับผู้อำนวยการเขตทั้ง 8 เขตคือเขตดอนเมือง สายใหม หลักสี่ บางเขน จตุจักร ลาดพร้าว ห้วยขวาง และวังทองหลางเข้าพื้นที่เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจกับประชาชนโดยจะต้องเข้าพื้นที่มากกว่า 1 ครั้งและต่อเนื่องเพื่อลดความข้องใจและความกังวลของประชาชนที่เกรงว่าเมื่อย้ายแล้วอาจจะไม่มีที่อยู่โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ของกทม.สำนักงานเขตสามารถทำความเข้าใจกับประชาชนที่จะต้องรื้อบ้านออกจากคลองได้แล้วกว่าร้อยละ 90 ของประชาชนทั้งหมดเหลือเพียงประมาณร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ต้องการจะย้ายออกจากคลองเพราะเคยชินกับวิถีชีวิตแบบเดิมๆซึ่งก็จะต้องเร่งทำความเข้าใจซึ่งหากชุมชนใดสามารถเข้าพื้นที่ได้กทม.ก็จะดำเนินการทันทีโดยตนได้กำชับให้ทำพร้อมๆกันทั้ง 8 เขต จำนวน 2,600 ครัวเรือน ทั้งนี้กทม.ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องดำเนินการรื้อย้ายให้สำเร็จภายในเดือนธ.ค. 60 เพื่อที่จะได้ลงเสาเข็มก่อสร้างเขื่อนที่ต้องลงเสาเข็มกว่า 54,000 ต้น อย่างไรก็ตามหากสุดท้ายแล้วประชาชนไม่ให้ความร่วมมือที่จะย้ายออกจากพื้นที่กทม.จะพิจารณาใช้กฎหมายประกาศขณะปฏิวัติ(ปว.)44 โดยทางกทม.ได้แจ้งระเบียบการไปยังสำนักงานเขตเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากทางเขตเข้าไปเจรจาแล้วประชาชนยังไม่ยอมให้ความร่วมมือจะต้องดำเนินการตามกฎหมายปว.44โดยแจ้งให้ทราบก่อนหากภายใน 15 วันหลังจากนั้นหากยังไม่ยอมรื้ออย้ายกทม.มีอำนาจที่เข้าดำเนินการเองได้ทันที แต่ขั้นตอนดังกล่าวดังกล่าวกทม.จะดำเนินการเป็นขั้นตอนสุดท้ายหากประชาชนยังไม่ยอม
นายจักรพันธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการรื้อย้ายบ้านรุกคลองลาดพร้าวทั้งหมดจำนวนกว่า 52 ชุมชน จำนวน 7,081 ครัวเรือน นั้นกทม.ดำเนินการคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 50 ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้ายหมายและประชาชนก็ให้ความร่วมมือเป็นเป็นอย่างดี และจะต้องเร่งรื้อย้ายบ้านที่รุกคลอง ส่วนการจัดหาพื้นที่หรือก่อสร้างบ้านเรือนั้นจะจะต้องให้กรมธนารักษ์และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.)ดำเนินการให้เหมาะสม นอกจากการรื้อบ้านประชาชนแล้วกทม.ยังเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ต้นไม่ใหญ่โดยหากเข้าพื้นที่จุดใดและพบว่ามีต้นไม้ขนาดก็จะทำการล้อมต้นไม้เพื่อย้ายไปปลูกในที่ที่เหมาะสมโดยขณะนี้ได้เริ่มทะยอย ล้อมต้นไม้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะบริเวณลัดลาดพร้าวที่มีต้นขนาดใหญ่หลายต้น แต่ในการล้อมต้นไม่นั้นจะต้องใช้เวลาพอสมควร
นายธนัช นฤพรพงศ์ ผู้ช่วยผอ.สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชม ปฏิบัติหน้าที่ศูนย์แก้ปัญหาที่อยู่อาสัยริมคลอง กล่าวว่า ทางการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยรุกล้ำพื้นที่คลองลาดพร้าวนั้น พอช.วางแนวทางการสร้างบ้านมั่นคงไว้เบื้องต้นดังนี้ 1.รื้อบ้านในชุมชนทั้งหมดเพื่อจัดสรรที่ดินบริเวณเดิมในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ 2.หากไม่มีที่ดินเพียงพอชุมชนจะต้องรวมกันไปเช่าที่ดินของเอกชนในบริเวรอื่นเพื่อก่อสร้างบ้าน 3.การรื้อย้ายบ้านไปอยู่อาศัยยังบ้านเอื้ออาทรหรือบ้านเคหะของภาครัฐ 4.หากประชาชนต้องการอยู่ในพื้นที่ใกลเคียงพื้นที่เดิมแต่มีที่ดินไม่เพียงพอสำหรับการจัดสรรก่อสร้างบ้านให้ชุมชนนั้นๆทั้งหมดพอช.มีแนวทางในการก่อสร้างรูปแบบบ้านเป็นแบบตึกอาสูง เพื่อรองรับกับครัวเรือต่างๆได้ในชุมชน อย่างไรก็ก็ตามการก่อสร้างบ้านรูปแบบอาคารสูงริมคลองวิถีชีวิตของชาวบ้านกับการอยู่อาศัยรูปแบบเดิมในแนวราบนั้นก็ต่างกัน ซึ่งพอช.ก็จะนำเสนอในชุมชนที่มีพื้นที่ไม่เพียงพอ เพื่อให้เป็นทางเลือกให้แก่ชาวบ้านต่อไป โดยพื้นที่ที่จะต้องสร้างอาคารสูงเพื่อรองรับประชาชนเบื้องต้นจะอยู่บริเวณชุมชนลาดพร้าวเพราะพื้นที่ค่อนข้างน้อยและคับแคบ