การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต แจ้งความคืบหน้าในการดำเนินงานรื้อย้ายสะพานลอยข้ามแยกรัชโยธิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งงานสัญญาที่ 1 มีบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นต์เป็นผู้ก่อสร้าง ที่แล้วเสร็จเร็วกว่าแผนงาน เตรียมพร้อมเร่งดำเนินงานก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดเป็นลำดับต่อไป
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต แจ้งความคืบหน้าในการดำเนินงานรื้อย้ายสะพานลอยข้ามแยกรัชโยธิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งงานสัญญาที่ 1 มีบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์เป็นผู้ก่อสร้าง ที่แล้วเสร็จเร็วกว่าแผนงาน เตรียมพร้อมเร่งดำเนินงานก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดเป็นลำดับต่อไป
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ช่วยผู้ว่าการ รฟม. ในฐานะผู้อำนวยการโครงการ เปิดเผยว่า รฟม.ได้เริ่มดำเนินงานรื้อย้ายสะพานฯ ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา และกำหนดระยะเวลาในการรื้อย้ายประมาณ 2 เดือน (ตามแผนงานรื้อย้ายสะพานฯ จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560)
ล่าสุด รฟม.ได้เร่งรัดการดำเนินงานรื้อย้ายสะพานฯ อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน จนทำให้สามารถดำเนินงานรื้อย้ายสะพานฯ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2560 ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้ และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและผู้บริหาร รฟม.ที่ต้องการเร่งรัดการดำเนินงานก่อสร้างฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรแก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด
สำหรับขั้นตอนต่อไป รฟม.จะเร่งดำเนินงานก่อสร้างโครงสร้างอุโมงค์ทางลอด ขนาด 4 ช่องจราจร ซึ่งมีความยาว 1,085 เมตร ลึก 7.50 เมตร กว้าง 16.80 เมตร โดยช่วงแรกจะเริ่มดำเนินก่อสร้างผนังอุโมงค์ทางลอดบริเวณกลางแยกรัชโยธินก่อนพร้อมกับดำเนินการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคใต้ดินและก่อสร้างหลังคาอุโมงค์เพื่อคืนพื้นผิวจราจรบริเวณกลางสี่แยกรัชโยธิน
ตามแผนงานจะดำเนินงานในช่วงแรกแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2560 นอกจากนี้ รฟม.จะเร่งดำเนินการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดส่วนที่เหลือทั้ง 2 ฝั่ง คือฝั่งศาลอาญารัชดาฯและฝั่งธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ให้แล้วเสร็จและเปิดใช้ได้ภายในต้นปี 2562 เพื่อลดผลกระทบด้านจราจรและให้ประชาชนได้ใช้งานอุโมงค์ทางลอดตามแผนงานที่วางไว้โดยเร็วต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ