สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯฉายภาพการก่อสร้างปี 60 โต 15% มูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท ปัจจัยสำคัญจากการโหมเมกะโปรเจ็กต์ด้านโครงสร้างพื้นฐานมากที่สุดในรอบ 10 ปี
นายณัฐพร พรหมสุทธิ ประธานสมาพันธ์สมาคมการก่อสร้างแห่งอาเซียน (ACF) และอุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (TCA) เปิดเผยว่าจากข้อมูลการประชุมสมาคมการก่อสร้างแห่งอาเซียนกลุ่มประเทศที่น่าสนใจที่สุดคือกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และมีความเหมาะสมด้านการลงทุนภาคอุตสาหกรรม ด้วยความพร้อมด้านทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และอัตราค่าจ้างแรงงานไม่สูงมากนัก
กลุ่มประเทศ CLMV มีส่วนกระตุ้น GDP ภาพรวมอาเซียนโต 11% แต่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 7-7.5% จึงเป็นกลุ่มที่น่าจับตามองและได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศมากที่สุดในขณะนี้ ด้วยแนวโน้มการขยายตัวเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น เช่นรัฐบาลเมียนมาเร่งการสร้างถนนและเส้นทางคมนาคมมากขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง กัมพูชาก็เน้นการใช้ผู้รับเหมาจากประเทศจีนและเกาหลี ถึงแม้จะใช้เทคโนโลยีที่ไม่สูงมาก แต่มีความพร้อมด้านแรงงาน
ต่างจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ เน้นการลงทุนเรื่องของบุคคลากร และกำลังประสบปัญหาเรื่องขาดแคลนแรงงานที่มีความชำนาญในการก่อสร้าง จึงมุ่งนำเครื่องมือในการบริหารงาน เช่น ระบบ Building Information Modeling หรือ BIM มาบังคับใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเพื่อลดปัญหาการใช้แรงงานดังกล่าว
นายธนัท เวสารัชชานนท์ เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (TCA) กล่าวว่า ประเทศไทยมีโครงการก่อสร้างโครงสร้างขั้นพื้นฐาน สูงมากที่สุดในรอบ10 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าปี2560 จะโตไม่ต่ำกว่า 15% หรือ 1.2 ล้านล้านบาท และในอีก 3-5 ปีต่อไปจะมีการขยายตัวอย่างมาก ตามนโยบาลหลักของรัฐบาลที่มีการลงทุนจำนวนมหาศาลร่วมกับเอกชนในโครงการ PPP (Public Private Partnership) อาทิ รถไฟฟ้าสายสีชมพู รถไฟฟ้าสายสีเหลือง มอเตอร์เวย์นครปฐมเป็นต้น
ซึ่งตอนนี้รัฐบาลมีแผนร่นระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่างๆ จากเดิมใช้เวลา 2 ปีให้ลดลงครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นคาดว่าคนไทยจะได้เห็นโครงการ PPP ออกมาในเร็ววัน สำหรับการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพและทดแทนแรงงานนั้นยังคงต้องหาทางออกร่วมกับภาคเอกชนในเรื่องค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงอยู่
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ในปี 2559 ที่ผ่านมา เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 170,944 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อน เป็นผลจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวลดลงตามสถานการณ์แข่งขัน ด้านกำไร 8,492 ล้านบาท ลดลง 17% จากปีก่อนเช่นกัน สำหรับปี 2560 คาดหวังการลงทุนของภาครัฐมีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การใช้งานซิเมนต์สูงขึ้น เพราะก่อให้เกิดความเชื่อมั่น ซึ่งจะทำให้เกิดการเติบดตด้านอาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัยต่อเนื่องตามมา เฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ด้านโครงสร้างพื้นฐานกำลังความต้องการใช้ซิเมนต์ประมาณ 1 ล้านตัน หรือ 2.5% ของภาพรวมความต้องการใช้ซิเมนต์ต่อปีที่ 40 ล้านตัน
ด้านการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์เอสซีจีให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งเอสซีจีเชื่อมั่นว่า ภูมิภาคอาเซียนเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนตามนโยบายของภาครัฐ รวมถึงการบริโภคในประเทศและการค้าขายระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ