แนวโน้มราคาที่ดินเพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ย 5-10% ทำให้ผู้ประกอบการปรับแผน เน้นซื้อที่ดินแปลงใหญ่ เพื่อพัฒนาเป็นเมืองมากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่าย
เลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนการลงทุนพัฒนาโครงการของบริษัทหลังจากนี้จะเน้นการซื้อที่ดินแปลงใหญ่ ขนาด 100 ไร่ขึ้นไป เพื่อพัฒนาโครงการแบบผสมผสานมีบ้านหลากหลายรูปแบบภายในโครงการเดียว รูปแบบเดียวกับโครงการ “พฤกษา อเวนิว” พัฒนาการ 38 เนื้อที่ทั้งโครงการ 231 ไร่ ภายในพฤกษา อเวนิว พัฒนาเป็นโครงการบ้านแนวราบถึง 13 โครงการ หลากหลายรูปแบบตั้งแต่ระดับกลาง – บน ภายในโครงการเดียว
การพัฒนาในรูปแบบพฤกษา อเวนิว ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ โดยเฉพาะในเรื่องของงานก่อสร้าง แรงงาน วัสดุอุปกรณ์ การขนย้าย ไม่ต้องย้ายคนงานบ่อยๆ การใช้เครื่องจักรที่ต่อเนื่อง จะลดจำนวนพนักงานดูแลโครงการ ซึ่งทำให้ลดต้นทุนในหลายด้าน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการในรูปแบบนี้โครงการจะต้องอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ
ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินแปลงใหญ่เพื่อพัฒนาโครงการในรูปแบบดังกล่าว 7-8 แปลง คาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในเร็วๆนี้ รวมถึงมีแผนซื้อที่ดินเพิ่มอีกด้วย
เช่นเดียวกับ ชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เพค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในต้นปีหน้าจะประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรผู้ประกอบอสังหาฯ รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 3-4 ราย ร่วมพัฒนาโครงการในที่ดิน 2 แปลงขนาดใหญ่ บริเวณแจ้งวัฒนะเนื้อที่ 900 ไร่ และที่ดินบริเวณกรุงเทพกรีฑาเนื้อที่ 600 ไร่ รวม 1,500 ไร่ โดยทั้ง 2 แปลงเป็นแลนด์แบงก์เก่าจึงมีต้นทุนที่ดินต่ำ มีมูลค่าโครงการแห่งละราว 1 หมื่นล้านบาท
“การพัฒนาแต่ละบริษัทจะแยกกันพัฒนาเป็นแบรนด์ของแต่ละบริษัท มีทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ราคาระดับกลาง-บน เมื่อรวมกับของเราเป็น 4 บริษัท 4 โครงการ คาดว่าต้นปี 2560 จะเปิดตัวโครงการได้”
เกษรา ธัญาลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ 1,200 ล้านบาท ซึ่งใช้ไปแล้ว 700-800 ล้านบาท และช่วงเลาที่เหลือจะซื้อที่ดินแปลงใหญ่มากขึ้น เพราะปัจจุบันราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้การซื้อแปลงใหญ่ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาโครงการที่มีจำนวนยูนิตมากขึ้น และมีมูลค่าโครงการที่สูงขึ้นได้ เช่น โมเดลโครงการ ปาร์คแแกรนด์ รามอินทรา ขายราคา 7 ล้านบาท และอีกโครงการ พาร์ควิว ขายราคา 5 ล้านบาท
ทั้งนี้การซื้อที่ดินแปลงใหญ่ สามารถต่อรองราคาได้ และยังทำให้ต้นทุนการบริหารโครงการต่ำลงด้วย แต่ต้องเป็นทำเลที่มีศักยภาพ รองรับการพัฒนาโครงการไปไดัหลายปี
โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด ระบุว่า บริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ ๆ เน้นการพัฒนาเป็นเมือง (Township) มากขึ้น เนื่องจากช่วยลดต้นทุนบริหารและจัดการงาน ไม่ต้องใช้งบการโฆษณามากนัก แตกต่างจากกลยุทธ์เดิมที่เน้นไปที่โครงการขนาดเล็ก เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ หากนับเฉพาะโครงการแนวราบ 10 แห่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในปัจจุบัน ได้แก่ โครงการบ้านพฤกษา 3 บริเวณถนนบ้านกล้วย-ไทรน้อย มีจำนวนทั้งหมด 4,302 ยูนิต, โครงการบ้านพฤกษา 22 ตั้งอยู่ถนนรังสิต-นครนายก จำนวน 3,720 ยูนิต ,โครงการ บ้านพฤกษา12 รังสิต คลอง3 จำนวน 3,684 ยูนิต ทั้ง 3 โครงการพัฒนาโดย บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) ,โครงการ บ้านฟ้าปิยรมย์ ตั้งอยู่ถนนลำลูกกา พัฒนาเอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง มีจำนวน 2,860 ยูนิต, โครงการ บัวทอง 4 ตั้งอยู่ถนนบ้านกล้วย-ไทรน้อย พัฒนาโดยบริษัท อาร์เอ็ม พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 2,673 ยูนิต,โครงการ พฤกษา 13 พัฒนาโดยบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯ จำนวน 2,523 ยูนิต,โครงการกรีนการ์เด้นโฮม โครงการ 2 จำนวน 2,035 ยูนิต, โครงการ ยิ่งโอฬาร,บ้านสวน จำนวน 2,023 ยูนิต,โครงการ เพอร์เฟคเพลส รามคำแหง จำนวน 1,891 ยูนิตและโครงการ วิเศษสุขนคร โครงการบ้านไร่ 19 จำนวน 1,889 ยูนิต
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ