เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2501 เป็นวันสถาปนา “กฟน.-การไฟฟ้านครหลวง” ปีนี้ครบรอบก่อตั้ง 58 ปีเต็ม ขอบเขตพื้นที่จ่ายไฟฟ้ายังครอบคลุม 3 จังหวัด กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการเท่าเดิม แต่สถานการณ์ป้อนไฟย่อมไม่เหมือนเดิม เพราะตัวเมืองมีการเจริญเติบโตแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด “สมชาย โรจน์รุ่งวศินกุล” ผู้ว่าการคนที่ 15 ของ กฟน. ให้สัมภาษณ์ถึงปัจจุบันและอนาคตที่การไฟฟ้าฯและผู้ใช้ไฟจะเติบโตไปด้วยกัน
– ผลดำเนินการครึ่งปีแรก
6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย. 59) กฟน.มีรายได้รวม 99,100 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% สินทรัพย์รวมเพิ่ม 6% เป็น 196,700 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่มาจากการจำหน่ายไฟ ช่วงที่ผ่านมาเพิ่ม 5.3% จากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะผู้ใช้ไฟภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเด่นชัด เทียบกับประเภทอุตสาหกรรม ธุรกิจยังไม่เห็นชัด อาจเพราะส่วนหนึ่งมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ จำนวนมาก ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยบูม คนไปอยู่อาศัยเยอะขึ้น การใช้ไฟก็มากขึ้นด้วย
ส่วนหนึ่งเป็นไปได้ว่า ไฟฟ้าที่ใช้โดยเฉพาะภาคที่อยู่อาศัย ขึ้นกับสภาพแปรผันของอากาศด้วย เช่น หน้าร้อนใช้ไฟเยอะ เปิดแอร์และต้องเย็นกว่าปกติ จาก 27 เหลือ 24 องศา ฯลฯ นั่นคือปัจจัยอุณหภูมิทำให้ยอดการใช้ไฟสูง ถ้าเข้าหน้าหนาว การใช้ไฟก็ลดลง
สถิติ กฟน. ปัจจุบันมีผู้ใช้ไฟมากกว่า 3.5 ล้านราย หน่วยขายไฟสะสม 6 เดือนแรก 25,600 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 1,300 ล้านหน่วย จำนวนครั้งที่ไฟฟ้าขัดข้องเฉลี่ย (SAIFI) 0.67 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟ 1 ราย ระยะเวลาไฟฟ้าขัดข้องเฉลี่ย (SAIDI) 20.46 นาที/ผู้ใช้ไฟ 1 ราย อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด แสดงให้เห็นถึง กฟน.สามารถป้อนไฟในพื้นที่บริการได้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพสูง
สำหรับครึ่งปีหลัง เกณฑ์ปกติเราอยากได้กำไรสัก 1 หมื่นล้านบาท แต่ด้วยปัจจัยที่หน่วยขายไม่โตกว่านี้ กำไรอาจได้สัก 9 พันล้านบาท ซึ่งเราต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
– โครงการนำสายไฟลงดิน
ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ กฟน. เมื่อ 25 ปีที่แล้วเรามีแนวคิดที่จะลงทุนเพราะมองว่าระบบสายไฟใต้ดินมีความมั่นคงสูง ไม่มีอะไรไปรบกวน ไม่เหมือนสายอากาศ พาดสายบนเสาไฟฟ้าทำให้เกิดปัญหามีงู กระรอก ต้นไม้ล้ม รถชนเกี่ยวสายไฟทำให้ไฟดับ ดังนั้นวัตถุประสงค์หลักต้องการความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้า ป้อนไฟถึงผู้ใช้อย่างเพียงพอ สำคัญที่สุดคือต้องปลอดภัยด้วย
ระบบสายไฟใต้ดิน เราทำมานาน 20 กว่าปี จุดแรกที่สีลมเป็นถนนธุรกิจสำคัญที่สุดในอดีต ตอนนั้นยังไม่มีถนนสุขุมวิท สาทร จากสีลมเราไปพญาไท วังจิตรลดา ตอนนี้เราทำทั่วไปหมด โครงการใกล้เสร็จก็มีสุขุมวิท และโครงการนนทรี พระราม 3 เพิ่งประกวดราคามูลค่า 2 พันกว่าล้านบาท ล่าสุดได้รับงบฯ 4.8 หมื่นล้าน นำสายไฟลงดินเพื่อรองรับวิสัยทัศน์ ยกระดับให้กรุงเทพฯเป็นมหานครแห่งอาเซียน ระยะทาง 127 กม. บนถนน 39 สาย รวม 7 โครงการ มีเป้าหมายทำให้แล้วเสร็จใน 10 ปี
โครงการนี้รัฐบาลให้ความสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายและกำหนดให้ลดเวลาเหลือ 5 ปีได้ไหม ตรงนี้ กฟน.ต้องพยายามกลับมาวางแผน ต้องมีวิธีการอย่างไรให้แล้วเสร็จ โดยรัฐบาลตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน มี รมว.มหาดไทยเป็นประธาน ผมเป็นอนุกรรมการอยู่ด้วย จะมีการประชุมนัดแรก 11 ส.ค.นี้ เพื่อขับเคลื่อนให้บูรณาการ
สิ่งที่อยากฝากถึงผู้ใช้ไฟ โครงการสายไฟลงดินอาจมีผลกระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อยากให้เข้าใจว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น และเราพยายามบริหารจัดการให้กระทบน้อยที่สุด หลังจากแล้วเสร็จจะมีความยั่งยืนในระยะยาว
– แผนรองรับรถยนต์ไฟฟ้า
ในส่วน กฟน. เรามีวิสัยทัศน์เห็นความสำคัญตั้งแต่ปี 2553 เราศึกษาโดยครั้งแรกซื้อรถไฟฟ้า ทดลองวิ่ง ออกแบบและก่อสร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ปัจจุบันมีรถไฟฟ้าใช้ใน กฟน. 16 คัน สถานีชาร์จ 10 สถานี คิดว่าไม่นานนักอาจมีโรงงานผลิตรถไฟฟ้าขึ้นในประเทศ หรือนำชิ้นส่วนมาประกอบ เราต้องสร้างให้ประชาชนเห็นว่า รถไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพลังงานสะอาด ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ ไม่ปล่อยมลพิษ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าต้องชาร์จไฟสม่ำเสมอ
ทั้งนี้การชาร์จไฟแต่ละครั้งวิ่งได้ 100-200 กม. นั่นคือชาร์จรถไฟฟ้าวิ่งทางไกลอาจไม่เหมาะสม แต่เหมาะกับซิตี้คาร์ ดังนั้น กฟน.ต้องรองรับในเรื่องสถานีชาร์จไฟ ต้องเตรียมความพร้อมเทคโนโลยี ซึ่งสามารถรองรับได้หมด ไม่ว่ารถยนต์ผลิตจากค่ายญี่ปุ่น จีน ยุโรป อเมริกา
– มีคอนโดฯทำสถานีชาร์จด้วย
ปกติต้องลงทุนสถานีละ 3 ล้านบาท ถ้าภาคเอกชนรายใดมีความพร้อมก็สามารถลงทุนเองได้ เพียงแต่ต้องมาติดต่อขอใช้ไฟกับการไฟฟ้าฯ สามารถชาร์จไฟได้ครั้งละ 1 คัน มีตัวอย่างในต่างประเทศที่เขามีสถานีชาร์จไฟรถยนต์ในบ้าน แต่เมืองไทยปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นนั้น ภาพรวมส่วนใหญ่ถ้ามีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า น่าจะใช้บริการสถานีชาร์จเพราะลงทุนสูง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ