“บ้านประชารัฐ”กระตุ้นอสังหาฯปลาย ไตรมาสแรกคึกคัก บิ๊กอสังหาฯ ขนสต็อกบ้าน-คอนโด พร้อมอยู่เกือบ 1.3 หมื่นยูนิต ขายผ่านบ้านประชารัฐ ด้านแอล.พี.เอ็น. อัดโปรเสริม “บ้านประชารัฐในชุมชนน่าอยู่” ช่วยลูกค้าผ่อนค่างวดต่อเนื่องนาน 3 ปี
มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกมาตรการที่รัฐดำเนินการต่อเนื่องจาก การลดค่าธรรมเนียมการโอน จดจำนอง เหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ตั้งแต่ วันที่ 29 ต.ค. 2558 จะสิ้นสุดมาตรการวันที่ 28 เม.ย.2559 รวมไปถึงการเพิ่มวงเงิน กู้บ้านพร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ การซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถนำวงเงิน 20% ของมูลค่าบ้านมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เป็นเวลา 5 ปี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการบ้านประชารัฐ โดยสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้มีรายได้น้อย รวมวงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น 7 หมื่นล้านบาท
แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้พัฒนาโครงการโดยให้สถาบันการเงินของรัฐ ทั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ออมสิน และกรุงไทย ปล่อยกู้รวม 3 หมื่นล้านบาท
สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สำหรับประชาชนกลุ่มนี้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง หรือซ่อมแซมหรือต่อเติมที่อยู่อาศัย โดย ธอส.และออมสิน ปล่อยกู้รวม 4 หมื่นล้านบาท
กระตุ้นอสังหาฯไตรมาสแรกคึก
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า โครงการที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสต็อกเหลือขายราคายูนิตไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เฉพาะที่ผู้ประกอบการสร้างขายทั่วประเทศ มีอยู่ 36,100 ยูนิต แบ่งเป็นประเภท คอนโดมิเนียม ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 20,300 ยูนิตและอยู่ในภูมิภาค 6,500 ยูนิต ส่วนประเภทบ้านจัดสรร แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2,900 ยูนิต และในภูมิภาค 6,400 ยูนิต ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวมทรัพย์สินรอการขาย ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือบ้านมือสอง
ในจำนวนยูนิตเหลือขายทั่วประเทศ 36,100 ยูนิต จะเป็นบ้านจัดสรร สัดส่วนไม่ถึง 5% และเป็นคอนโด สัดส่วน 20-25% เมื่อนับรวมทั้งสองตลาดแล้ว ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จึงมีสัดส่วนประมาณไม่เกิน 20% ของตลาดที่อยู่อาศัยรวม
“โครงการบ้านประชารัฐ คาดว่า ช่วยระบายสต็อกที่มีอยู่ในตลาดออกไปได้ ประกอบมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ (ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท) ที่จะหมดอายุลงในวันที่ 28 เม.ย.นี้ ช่วยให้ตลาดช่วงเดือนมี.ค.เป็นต้นไป คึกคักขึ้นมากยิ่งขึ้นและช่วยให้ตลาดอสังหาฯปีนี้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”
สต็อก”หมื่นยูนิต”ร่วมบ้านประชารัฐ
จากการรวบรวมข้อมูล ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีสต็อกที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ตามนโยบายบ้านประชารัฐมีอยู่กว่า. 11,786 ยูนิต ประกอบด้วย บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) มีโครงการที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทรวม 19 โครงการ 4,539 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 4,771 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์408 ยูนิต มูลค่า 556 ล้านบาท และคอนโด 4,131 ยูนิต มูลค่า 4,215 ล้านบาท
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีโครงการยูนิโอ จรัญฯ3 ราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท 1,900 ยูนิตปีนี้เตรียมพัฒนาคอนโดแบรนด์ยูนิโอขายราคา 1 ล้านต้นๆ อีก 3 โครงการ รวมกว่า 3,000 ยูนิต
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงการคอนโดราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท มูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท หรือคิดเป็นยูนิตรวมกว่า 1,000 ยูนิต ส่วนบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างขายราคาต่ำ 1.5 ล้านบาท 7 โครงการ มูลค่ารวม 1,140 ล้านบาท980 ยูนิต ขณะที่ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) มี คอนโด 800 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท ที่อยู่ในเกณฑ์บ้านประชารัฐแบ่งสัดส่วน 70% อยู่ในโครงการศุภาลัยซิตี้โฮม ศรีนครินทร์ อีก 30% กระจายตัวในทำเลภูเก็ต-พัทยา
แอล.พี.เอ็น.รับช่วยดันยอดขายพุ่ง
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการบ้านประชารัฐซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายเดือนมี.ค.มีความคึกคักอย่างมาก โดยบริษัททำยอดขายเฉพาะเดือนมี.ค.สูงถึง 1,200 ล้านบาท จากในช่วง 2 เดือน ม.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา ตลาดชะงักไป ยอดขายทำได้เฉลี่ยเดือนละ 500 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้วยอดขายเฉลี่ย 1,000 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคต้องการรอโครงการบ้านประชารัฐ ทำให้มีการชะลอการตัดสินใจซื้อ
สำหรับแอล.พี.เอ็น. มีโครงการที่เข้าร่วมบ้านประชารัฐทั้งสิ้น 14 โครงการ 3,000 ยูนิต มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาไม่เกิน 7 แสนบาทประมาณ 1,100 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นโครงการลุมพินี ทาวน์ชิปรังสิตคลอง 1 และสามารถขายไปในช่วงที่มีโครงการบ้านประชารัฐ ขณะนี้เหลือขาย 300 ยูนิต
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดบริษัทได้จัดโปรโมชั่นเสริมพิเศษ”บ้านประชารัฐในชุมชนน่าอยู่” ช่วยลูกค้าผ่อนในค่างวดต่อเนื่องนาน 3 ปี หรือประมาณ 31,000 บาท ค่าส่วนกลางฟรี 1 ปี เพื่อให้ลูกค้ามีบ้านหลังแรกได้ง่ายขึ้นในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ซึ่งแคมเปญดังกล่าวเริ่มตั้งแต่วันนี้ถึง 25 เม.ย.นี้
เชื่อเร่งการตัดสินใจ”ซื้อ-โอน”
“หลังจากนี้ ไปโครงการบ้านประชารัฐ จะเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย และโอน มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯมีความคึกคักยิ่งขึ้น จากในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ลูกค้า กลุ่มตลาดกลาง-ล่าง ยังรีรอตัดสินใจซื้อ และโอน เพราะต้องการรอโครงการบ้านประชารัฐออกมาก่อน”
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อตอบรับนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านประชารัฐ จึงรวบรวมที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
รวม 19 โครงการ 4,539 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 4,771 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 408 ยูนิต มูลค่า 556 ล้านบาท และคอนโด 4,131 ยูนิต มูลค่า 4,215 ล้านบาท”เข้าร่วมโครงการ โดยโครงการที่เข้าร่วมบ้านประชารัฐประกอบด้วยทาวน์เฮาส์ ราคาเริ่มต้น 1.25 ล้านบาท และคอนโดราคาเริ่มต้น 7.89 แสนบาท
“เพอร์เฟค”โดดร่วมบ้านประชารัฐ
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า โครงการบ้านประชารัฐ ให้ผู้ซื้ออสังหาฯราคาต่ำกว่า1.5 ล้านบาท และซื้อเป็นกรรมสิทธิ์บ้านหลังแรก สามารถขออนุมัติสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากธอส. และออมสิน และได้รับสิทธิฟรีค่าโอน ค่าจดจำนอง ค่าส่วนกลาง 1 ปี และลดราคาอสังหาฯ 2% โดยผู้ประกอบการเป็นผู้สนับสนุน
โดยบริษัทเตรียมนำคอนโดเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ 1 โครงการ คือ ไอคอนโดงามวงศ์วาน 40 ยูนิต ที่มีราคาเฉลี่ย 1.4 ล้านบาทมูลค่า 60-70 ล้านบาท คาดว่าจะประกาศเข้าร่วมเป็นทางการได้หลังเทศกาลสงกรานต์
สำหรับก่อนหน้านี้ที่พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟคสนใจพัฒนาโครงการบ้านประชารัฐเพิ่มเติม แต่ต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจากไม่สามารถจัดหาที่ดินที่เหมาะสมต่อราคาดังกล่าวได้ และไม่มีความถนัดในการพัฒนาคอนโดตลาดล่าง แต่หากมีที่ดินที่น่าสนใจก็จะยังพิจารณาพัฒนาก่อสร้างบ้านประชารัฐอยู่
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ระบุว่า โครงการบ้านประชารัฐจะช่วยให้ตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15-20% เติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีจำนวนบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทจำนวนมาก แม้ว่าผู้บริโภคในต่างจังหวัดจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและภัยแล้ง แต่เชื่อว่ายังมีกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อแต่ยังชะลอการตัดสินใจอยู่ หันมาซื้อบ้านเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากโครงการดังกล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ