“อาคม” เยือนจีนเคาะ 3 ขบวนนำร่องประเดิมให้บริการรถโดยสารเชิงพาณิชย์จาก 115 คัน ครบเซตทั้งรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 รถโบกี้ปรับอากาศสำหรับบริการขายอาหาร และรถกำลังไฟฟ้า ผู้ว่าการร.ฟ.ท. เผยถึงเมืองไทยแน่ ก.ค.นี้คาดเปิดเดินรถ 5 ส.ค. 59 ประเดิมเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ค่าโดยสารคงเดิม คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยประมาณปีละ 1 ล้านคน สร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 1.25 พันล้านบาท
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าเมื่อวันที่ 21-22 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมานายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารร.ฟ.ท.ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อติดตามความคืบหน้าการผลิตขบวนรถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์จำนวน 115 คัน วงเงินจัดซื้อ 4,668 ล้านบาท ตามที่ได้เซ็นสัญญากับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีซีที่ประกอบไปด้วย บริษัท เขาหลักแบมบู ออร์คิด จำกัด, บริษัท ร่วมมิตรเหมืองแร่ จำกัด และบริษัท .ไชน่า เรลเวย์คอนสตรักชั่น(ประเทศไทย) จำกัด โดยการผลิตทั้งหมดดำเนินการในประเทศจีนและมีแผนทยอยขนส่งทางเรือมายังท่าเรือแหลมฉบังในเดือนกรกฎาคมนี้ก่อนจำนวน 3 ขบวนเพื่อนำไปทดลองให้บริการในเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ หลังจากนั้นจึงจะเร่งทยอยส่งมอบครบทั้งหมดในเดือนธันวาคม พร้อมทยอยเปิดให้บริการวันที่ 5 สิงหาคม 2559
“ปัจจุบันรถโดยสารประเภทรถนอนปรับอากาศที่พ่วงให้บริการในขบวนรถต่างๆ มีจำนวนไม่เพียงพอกับการใช้งาน ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานมานานจึงมีสภาพค่อนข้างเก่า อุปกรณ์บางส่วนชำรุด ดังนั้นเพื่อเป็นการสนองตอบความต้องการของตลาดเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการให้บริการขนส่งผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะผู้โดยสารระดับกลางและระดับบนที่มีกำลังซื้อ และต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการก่อสร้างทางคู่ระยะเร่งด่วนอีกด้วย”
ทั้งนี้โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน 115 คัน เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วนของร.ฟ.ท.ปี 2553-2557 วงเงินลงทุนรวม 1.76 แสนล้านบาท ซึ่งได้ร่วมโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์จำนวน 115 คันไว้ด้วย ปัจจุบันอัตราค่าโดยสารรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ชั้นบนราคาคนละ 1,253 บาท ชั้นล่างคนละ 1,453 บาท ส่วนรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 ชั้นบนคนละ 791 บาท และชั้นล่างคนละ 881 บาท
ด้านนายทนงศักดิ์ พงษ์ประเสริฐ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการเดินรถ ร.ฟ.ท. กล่าวถึงความพร้อมที่จะให้บริการว่าเป็นการจัดหารถพ่วงที่เป็นรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 จำนวน 9 คัน รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 จำนวน 88 คัน รถโบกี้ปรับอากาศสำหรับบริการขายอาหารจำนวน 9 คัน และรถกำลังไฟฟ้า จำนวน 9 คัน
“ตามแผนนั้นจะนำไปให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี, กรุงเทพฯ-หนองคาย และเส้นทางกรุงเทพฯ-หาดใหญ่ ไป-กลับวันละ 2 ขบวนต่อเส้นทางในรูปแบบรถด่วนพิเศษ ใช้ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถถึงที่หมายปลายทางได้เร็วเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อเส้นทาง และคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยประมาณปีละ 1 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้เฉลี่ยประมาณปีละ 1.25 พันล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ(FIRR) 11%”
โดยโครงการจัดหารถรถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์จำนวน 115 คัน สำหรับการวางแผนด้านการตลาดนั้นได้มีการวางแผนส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์ควบคู่ไปกับการส่งเสริมท่องเที่ยวทางรถไฟกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศเน้นการจำหน่ายตั๋วผ่านระบบออนไลน์ และจัดทำบัตรสมาชิกสำหรับผู้โดยสารที่ใช้บริการเดินทางกับขบวนรถพิเศษ(SRT’Club) เพื่อใช้เป็นช่องทางสำหรับการแจ้งข่าวสารหรือบริการใหม่ๆ เช่น การจัดนำเที่ยว การส่งเสริมการขายต่างๆในรูปแบบของการสะสมระยะทาง และยังให้บริการ ณ สถานีรถไฟสำคัญให้สามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งอื่นได้อีกด้วย
ทั้งนี้ปัจจุบันร.ฟ.ท.มีปริมาณผู้โดยสารและรายได้จากการโดยสารสำหรับขบวนรถโดยสารเชิงพาณิชย์ Commercail และขบวนรถเชิงสังคม PSO ประจำปี 2558 ดังนี้ คือ ผู้โดยสารเชิงพาณิชย์จำนวนรวม 10.3 ล้านคน เชิงสังคม 24.7 ล้านคน รวม 35 ล้านคน ส่วนรายได้การโดยสารเชิงพาณิชย์รวม 2,308 ล้านบาท เชิงสังคม 15 ล้านบาท รวม 2,323 ล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ