สัญญาณล่าสุดที่ชี้ว่าวงการอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นกำลังเป็นที่ต้องการสูง คือ แผนการสร้างอาคารที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นของ มิตซูบิชิ เอสเตท โค ส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่กลางกรุงโตเกียวมูลค่า 8,300 ล้านดอลลาร์ (297,469 ล้านบาท)
นอกจากอาคารสูงราว 389 เมตร หลังนี้ ยังมีอาคารอื่นอีก 3 หลัง ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟหลัก กลางย่านเศรษฐกิจที่ราคาที่ดินสูงที่สุดกรุงโตเกียว โดยราคาโครงการนี้อาจสูงถึง 1 ล้านล้านเยน (295,534 ล้านบาท) ซึ่งรวมที่ดินมูลค่า 600,000 ล้านเยน (177,320 ล้านบาท) แล้ว
นายฮิโรทากะ ซูกิยามา ประธาน มิตซูบิชิ เอสเตท กล่าวว่า โครงการนี้ จะช่วยพัฒนาให้กรุงโตเกียวเป็นหนึ่ง ในศูนย์กลางการเงินโลกได้ พร้อมดึงดูด ผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมหลายประเภท อาคารหลังนี้จะเป็นทั้งสัญลักษณ์และคู่แข่งอาคารอื่นทั่วโลกด้วย
มิตซูบิชิ เอสเตท ตั้งเป้าที่จะก่อสร้างโครงการนี้ให้แล้วเสร็จภายในปี 2570 ซึ่งระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนี้ได้เน้นย้ำความแน่นอนของโครงการ แต่ก็ทำให้ นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตในระยะยาวของโครงการเช่นกัน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับสูงของกรุงโตเกียวเริ่มได้รับความนิยมสูงอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากจากวิกฤตการณ์การเงินโลกเมื่อปี 2551 และภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดสึนามิเมื่อปี 2554 เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงกำลังไต่ขึ้นมาใกล้จุดสูงสุดของตลาดเมื่อปี 2550 อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ก็มีความกังวลว่า ตลาดอาจเสื่อมความนิยมลงหลังจบมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวเป็นเจ้าภาพ หรือเร็วกว่านั้นก็ได้
นายยาซูโอ โคโนะ นักวางกลยุทธ์ญี่ปุ่นจาก ลาซาล อินเวสต์เมนท์ แมเนจเมนท์ อิงค์ ที่มีฐานในสหรัฐ กล่าวว่าอสังหาริมทรัพย์สำนักงานกำลังฟื้นตัว ทำให้มีโครงการพัฒนาเกิดขึ้นมากมาย แต่แนวโน้มเช่นนี้อาจอยู่ไม่ถึงปี 2563
ถึงอย่างนั้น เขาก็มองว่า หลายโครงการ อย่างเช่น โครงการของมิตซูบิชิ เอสเตท ก็สอดคล้องกับโครงการพัฒนากรุงโตเกียวระยะยาวที่ต้องการให้มีการสร้างอาคารสูงอเนกประสงค์ใจกลางเมือง และการลงทุนเช่นนี้ก็น่าจะประสบความสำเร็จ ค่อนข้างดี
ข้อมูลของ มิกิ โชจิ โค บริษัทตัวแทนซื้อขาย เผยว่า อัตราว่างพื้นที่สำนักงานเฉลี่ยในย่านศูนย์กลางธุรกิจกรุงโตเกียวเหลือแค่ 4.9% ในเดือน ก.ค. จาก 9.3% เมื่อ 3 ปีก่อน ขณะที่ค่าเช่าอาคารใหม่เฉลี่ยพุ่งขึ้น 18% ในช่วงเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนรายใหญ่ก็กำลังกลับมายังญี่ปุ่น อย่าง “จีไอซี” กองทุนความมั่งคั่งสิงคโปร์ ที่เข้าซื้อพื้นที่ 24 ชั้นของอาคาร แปซิฟิก เซ็นจูรี่ เพลส มารุโนะอุจิ ทางใต้ของสถานีรถไฟกรุงโตเกียว เป็นมูลค่า 1,700ล้านดอลลาร์ (60,927 ล้านบาท)เมื่อปีที่แล้ว
ขณะที่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ลาซาล อินเวสต์เมนท์ แมเนจเมนท์ และ ไชน่า อินเวสต์เมนท์ คอร์ป กองทุนความมั่งคั่งจีน ก็ร่วมมือกันซื้อ เมงุโระ กาโจเอ็น คอมเพล็กซ์อสังหาริมทรัพย์พาณิชย์ในกรุงโตเกียว ราคาประมาณ 140,000 ล้านเยน (41,374 ล้านบาท) ด้วย
อาคารระฟ้าของมิตซูบิชิ เอสเตท จะมีความสูงเป็น 2 เท่าของอาคารมารุโนะอุจิ ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของสถานีรถไฟกรุงโตเกียว ในย่านเดียวกัน และมีความสูงผิดปกติจากอาคารอื่นในญี่ปุ่นที่เป็นเขตแผ่นดินไหว
เจ้าหน้าที่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นรายนี้ กล่าวว่า บริษัทมีเทคโนโลยีต้านแผ่นดินไหว ที่จะป้องกันไม่ให้อาคารได้รับความเสียหายจากการแกว่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม โครงการมูลค่า 1 ล้านล้านเยนนี้ ไม่ได้หมายความว่า บริษัทนี้จะลงทุนเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ เนื่องจาก มิตซูบิชิ เอสเตท ถือหุ้นใหญ่ในที่ดินผืนนี้ และอาคารที่มีอยู่ก่อนอยู่แล้ว ซึ่งนายซูกิยามา บอกว่า บริษัทมีแผนการถือหุ้นใหญ่ในโครงการตึกระฟ้าใหม่ด้วย โดยจะใช้เงินก่อสร้างจากงบประมาณการดำเนินงานปกติของบริษัท และไม่ใช้เงินจากภายนอก
มิตซูบิชิ เอสเตท รวมถึงบริษัทแม่และหน่วยงานในเครือ เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในย่านเศรษฐกิจของกรุงโตเกียว โดยได้ซื้อที่ดินจากรัฐบาลเมื่อปี 2433 หรือกว่า 100 ปีก่อน ส่วนผู้เชี่ยวชาญอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น ให้ข้อมูลว่า บริษัทนี้ไม่เคยหยุดพัฒนาที่ดินแถบนี้ แม้แต่ช่วงย่ำแย่ที่สุดของตลาดที่อยู่อาศัยญี่ปุ่นในทศวรรษ 90ก็ตาม
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ