รัฐควัก 5 หมื่นล้านสนับสนุนเอกชนลงทุนโมโนเรล 2 สาย 2 สี “ชมพู-เหลือง” แลกสัมปทาน 30 ปี รฟม.ปรับลดวงเงินใหม่ให้เหมาะสม หวังลดภาระ ก่อนเสนอ “ครม.บิ๊กตู่” ไฟเขียวปลาย มี.ค.นี้ เปิดประมูลสัญญาเดียว มิ.ย. ชี้ใครให้รัฐรับภาระน้อยที่สุด แบ่งรายได้ให้มากที่สุด เป็นผู้ชนะ คาดปลายปีรู้ผลตัดเชือก เริ่มตอกเข็มต้นปีหน้า เปิดหวูดกลางปี′63 “บีทีเอส-บีอีเอ็ม” รอดูเงื่อนไขทีโออาร์ ซุ่มหาพันธมิตรไทย-เทศชิงดำเค้กแสนล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังคณะกรรมการ PPP เห็นชอบหลักการให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าระบบโมโนเรล (รถไฟฟ้ารางเดี่ยว) 2 สายทาง รวม 111,335 ล้านบาท ได้แก่ สีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี) 56,691 ล้านบาท และสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) 54,644 ล้านบาท ตามขั้นตอน PPP Fast Tack โดยลงทุนแบบ PPP Net Cost รัฐรับภาระค่าเวนคืนที่ดิน ให้เอกชนลงทุนงานโยธา ระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถ ค่าจ้างที่ปรึกษา บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง เป็นระยะเวลา 30 ปี และเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงผู้โดยสาร
โดยรัฐจะสนับสนุนเงินลงทุนแก่เอกชนแต่ไม่เกินมูลค่างานโยธาเป็นการจูงใจ มอบให้รฟม.ปรับกรอบวงเงินให้เหมาะสม เพื่อลดภาระเงินสนับสนุนของรัฐ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการ งบประมาณค่าเวนคืน และกรอบวงเงินสนับสนุนเดือน มี.ค.และเปิดประมูลเดือน มิ.ย.นี้
ประมูลสายละ 1 สัญญา
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การคัดเลือกเอกชนมาดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง จะเป็นรูปแบบสัญญาเดียวทั้งก่อสร้าง บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการ โดยพิจารณาข้อเสนอของเอกชนภายใต้เงื่อนไขเอกชนจะเป็นผู้รับความเสี่ยงด้านการดำเนินการและปริมาณผู้โดยสาร ซึ่งรัฐไม่ต้องมีภาระการสนับสนุนด้านการเงิน (Subsidy) แต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับการประเมินโครงการของเอกชนแต่ละราย หากเอกชนรายไหนเสนอส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐมากที่สุด หรือขอรับการสนับสนุนจากรัฐน้อยที่สุด รวมทั้งข้อเสนอที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการก่อสร้างโครงการสั้นที่สุด จะเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้รับสัมปทานโครงการ
“ตามเงื่อนไขรัฐจะสนับสนุนไม่เกินวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาตามผลการศึกษาหรือวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาตามที่เอกชนลงทุนจริง แล้วแต่วงเงินไหนจะน้อยกว่ากัน”
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับเงินลงทุนของสายสีชมพู ระยะทาง 34.5 กม. จำนวน 30 สถานี อยู่ที่ 56,691 ล้านบาท แยกเป็น ค่าเวนคืนที่ดิน 6,847 ล้านบาท ค่างานโยธา 23,117 ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้าและขบวนรถ 25,211 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ 1,516 ล้านบาท ทั้งโครงการรัฐลงทุน 6,847 ล้านบาท ส่วนเอกชนลงทุน 49,844 ล้านบาท จะเปิดบริการปี 2563 ในปีแรกจะใช้รถทั้งหมด 92 ตู้หรือ 23 ขบวน มีผู้โดยสาร 130,000 คน/วัน ในระยะเวลา 30 ปี มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) อยู่ที่ 15.65% และผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ 3.86%
ส่วนเงินลงทุนของสายสีเหลือง ระยะทาง 29.1 กม. จำนวน 23 สถานี อยู่ที่ 54,644 ล้านบาท แยกเป็นค่าเวนคืนที่ดิน 6,013 ล้านบาท ค่างานโยธา 24,380 ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้าและขบวนรถ 22,772 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ 1,479 ล้านบาท ทั้งโครงการรัฐลงทุน 6,013 ล้านบาท ส่วนเอกชนลงทุน 48,631 ล้านบาท จะเปิดบริการปี 2563 ในปีแรกจะใช้รถทั้งหมด 102 ตู้หรือ 17 ขบวน มีผู้โดยสาร 247,900 คน/วัน มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) อยู่ที่ 17.2% และผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ 5.43%
รัฐควักเงินอุดหนุน 4.7 หมื่นล้าน
“เงินสนับสนุนที่รัฐต้องให้เอกชน 2 สาย ประมาณ 47,497 ล้านบาท ทางคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนมาตรา 35 ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี”56 จะนำไปประกอบการพิจารณาและเจรจาคัดเลือกกับเอกชนร่วมลงทุน”
พลเอกยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมมอบให้ รฟม. พิจารณา 4 ประเด็นตามที่คณะกรรมการ PPP สั่งการทำรายละเอียดโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง จะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ปลายเดือน มี.ค.นี้ ประกอบด้วย รูปแบบรถไฟฟ้า รูปแบบการลงทุนและการกำหนดทีโออาร์ ปรับวงเงินลงทุนให้เป็นปัจจุบันและทบทวนค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด และรูปแบบเงินสนับสนุนเอกชน
สำหรับรูปแบบรถไฟฟ้าทาง รฟม. ยืนยัน เป็นโมโนเรล และเป็นสัญญาเดียวคือทั้งก่อสร้างและเดินรถ ซึ่งระบบโมโนเรลก่อสร้างได้เร็วและง่าย ใช้พื้นที่น้อยลง สร้างยกระดับได้โดยไม่ต้องรื้อสะพานช่วงหลักสี่ออก ขณะที่รูปแบบสนับสนุนเอกชน ทาง รฟม.ให้การสนับสนุนเป็นระยะเวลา มากกว่า 10 ปีขึ้นไป โดยรายละเอียดจะต้องบรรจุไว้ในประกาศทีโออาร์ เพราะช่วยลดภาระรัฐ แต่ห้ามเกินวงเงินโยธาและเป็นการทยอยจ่าย จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับผู้ชนะคาดว่าปลายปีนี้จะได้ผู้ดำเนินการ ตามแผนจะเริ่มสร้างต้นปี 2560 เปิดบริการกลางปี 2563
BTS รอดูเงื่อนไขทีโออาร์
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) เปิดเผยว่า มีความสนใจจะร่วมลงทุนรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง รอดูรายละเอียดทีโออาร์ เนื่องจากเป็นโครงการที่เอกชนจะต้องลงทุนทั้งงานโยธาและงานระบบและขบวนรถ ซึ่งจะต้องให้รัฐสนับสนุนเงินลงทุนบางส่วน แต่จะมากหรือน้อยยังไม่สามารถกำหนดได้ ส่วนการยื่นข้อเสนอจะร่วมกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศอยู่ระหว่างการเจราจายังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
“บริษัทมีเงินทุน 6.8 หมื่นล้านบาท เป็นเงินสด 2 หมื่นล้านบาท และสิทธิการออกหุ้น 4.8 หมื่นล้านบาท พร้อมร่วมลงทุน PPP รถไฟฟ้าได้ 1 แสนล้านบาท ทั้งเดินรถสายสีเขียวช่วงหมอชิต-คูคต และแบริ่ง-สมุทรปราการ) สายสีชมพูและสีเหลือง”
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิโน-ไทยฯ กล่าวว่า สนใจจะร่วมลงทุน PPP สายสีชมพูและสีเหลือง ซึ่งจะก่อสร้างเป็นระบบโมโนเรล และให้เอกชนลงทุนทั้งก่อสร้างและเดินรถในสัญญาเดียว ขณะนี้กำลังหารือกับผู้ผลิตรถไฟฟ้าจีนและญี่ปุ่น รวมถึงผู้ประกอบการไทยด้วย เนื่องจากบริษัทถนัดเรื่องงานก่อสร้างอย่างเดียว
BEM ขอดูผลตอบแทน
ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ช.การช่าง กล่าวว่า ทางรัฐเพิ่งมีความชัดเจนเรื่องการประมูลสำหรับรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง จะเป็น PPP Net Cost ให้เอกชนลงทุนและรับความเสี่ยง บริษัทจะต้องศึกษาความเป็นไปได้ และดูผลตอบแทนการลงทุน แต่ศักยภาพของบริษัทสามารถเข้าร่วมลงทุนได้
โดยบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ซึ่งมีความแข็งแกร่งและความพร้อมจะเข้าประมูลงานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพด้านก่อสร้าง เทคนิคและการเงิน ไม่ต้องหาพันธมิตรเข้าร่วมก็ได้ เพราะมีประสบการณ์เดินรถไฟฟ้าใต้ดินและสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) เป็นลอยฟ้าเหมือนกับโมโนเรล แต่ไม่ปิดกั้นพันธมิตรรายอื่นแต่อย่างใด
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บมจ.อิตาเลียนไทยฯ กล่าวว่า สนใจประมูลแต่บริษัทสนใจเฉพาะงานโยธา จึงต้องหาพันธมิตรด้านการเดินรถมาร่วม โดยกำลังเจรจาบริษัทญี่ปุ่น เกาหลี จีน ยุโรป
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ