เฟสแรกย่านถนนพหลโยธิน สูง 7 ชั้น 500 ห้อง
“ธนารักษ์” เปิดที่ราชพัสดุ 6 แปลงพัฒนาโครงการบ้านประชารัฐ โดยเฟสแรกจะเริ่มต้นที่ถนนพหลโยธินในรูปแบบคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น จำนวน 500 ห้อง
เปิดโอกาสให้แก่ข้าราชการชั้นผู้น้อยเช่าเป็นรายเดือนไม่เกิน 3 พันบาท รัฐบาลมีนโยบายจัดทำโครงการบ้าน ประชารัฐ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ล่าสุดมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยความคืบหน้าโครงการบ้านประชารัฐของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ว่า ลักษณะของโครงการมีทั้งหมด 3 รูปแบบคือ 1.บ้านเช่าแบบรายเดือน 2.บ้านเช่าระยะยาว 30 ปี และ3.บ้านที่ซื้อขาดจากภาคเอกชน โดยแบบบ้านที่เป็นคอนโดมิเนียมและแบบบ้านแถว
ทั้งนี้ กรมธนารักษ์ได้กำหนดที่ราชพัสดุเอาไว้ทั้งหมด 6 แปลง ที่มีความพร้อมในการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐ ประกอบด้วย 1.ที่ดินบนถนนพหลโยธิน ตรงข้ามวัดไผ่ตัน 2.ที่ดินโรงกษาปณ์เก่า บริเวณถนนประดิพัทธ์ กรุงเทพฯ 3.ถนนช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ 4.อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 5.จังหวัดเชียงรายมีทั้งหมด 2 แปลง
“ทั้งหมดนี้ กรมฯได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเสนอรูปแบบการพัฒนามา จากนั้น เราจะสรุป และ นำไปเปิดให้เอกชนเข้าร่วมพัฒนา”
สำหรับพื้นที่บริเวณถนนพหลโยธิน ตรงข้ามวัดไผ่ตันนั้น กรมธนารักษ์จะหารือกับกรุงเทพมหานคร เพื่อปรับเปลี่ยนสะพานบนถนนพหลโยธิน ตรงข้ามกับวัดไผ่ตัน สะพานควาย ให้เป็นถนนเรียบ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายที่ห้ามสร้างคอนโดมิเนียมใกล้กับสะพานในระยะ 40 เมตร ซึ่งจะทำให้โครงการบ้านประชารัฐที่กรมธนารักษ์กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ สามารถเดินหน้าต่อไปได้
“พื้นที่ดังกล่าว มีขนาดประมาณ 3 ไร่เศษ ด้านหน้าติดถนนพหลโยธินและด้านหลังติดบ้านคนซึ่งสามารถเชื่อมไปถึงถนนสุทธิสารได้ แต่ติดข้อกฎหมายของกทม.ที่ห้ามสร้างคอนโดมิเนียมให้กับสะพาน เราต้องจำเป็นต้องปรับและแก้ไขสะพานให้เป็นถนนเรียบ และอาจจะจำเป็นต้องซื้อบ้านด้านหลังที่อยู่ติดกับตัวโครงการเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถทะลุถนนสุทธิสารซึ่งจะทำให้การเดินทางมีสะดวกมากขึ้นยิ่งขึ้น เนื่องจาก โครงการนี้ จะสร้างเป็นคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น มีจำนวนห้องพักทั้งหมด 500 ยูนิต ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่พอสมควร หากเราทำไม่ดีตั้งแต่ต้นก็อาจจะทำให้โครงการมีปัญหาในภายหลังได้”
กรมธนารักษ์จะทำโครงการดังกล่าว ให้เป็นต้นแบบของโครงการบ้านประชารัฐโดยมีรูปแบบเป็นการเช่ารายเดือนประมาณ 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 3,000 บาท โดยมีหลักการว่า การออกแบบและใช้วัสดุใช้ต้องมีคุณภาพดี บรรยากาศต้องน่าอยู่อาศัย แต่คงไม่หรูหราเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียนราคาหลายล้านบาท ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการออก แบบและเตรียมการทั้งหมด โดยมีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นผู้สนับสนุนเงินกู้ และจะเปิดให้เอกชนประมูลแต่หากหาผู้ก่อสร้างไม่ได้ กรมฯจะสร้างเองโดยให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ เป็นผู้ดำเนินการ
“เราจะเน้นเรื่องการออกให้คอนโดมิเนียมน่าอยู่อาศัยและมีความสวยงามโดยในสัปดาห์หน้า กรมจะเปิดเว็บไซต์เพื่อขอ รับแบบคอนโดมิเนียมจากภาคเอกชน ซึ่งขณะนี้ ภาคเอกชนหลายแห่งยินดีที่จะมอบคอนโดมิเนียมฟรีๆ และเมื่อเราได้แบบมาแล้ว ก็อาจจะต้องปรับปรุงให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องขนาดของพื้นที่”
โครงการดังกล่าว กรมฯกำลังพิจารณาเปิดให้เฉพาะลูกจ้างและข้าราชการที่มี รายได้น้อย ในเบื้องต้นต้องมีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท และเข้าอยู่อาศัยได้เป็นครอบครัวเช่น พ่อ แม่และลูกเท่านั้น เพื่อลดต้นทุนในการเดินทางและประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของ ค่าครองชีพ ภายใต้เงื่อนไขหากมีรายได้เพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งแล้ว ต้องย้ายออกจากคอนโดมิเนียมแห่งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ข้าราชการที่มีรายได้น้อยเข้าพักอาศัยแทน โดยจะจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อบริหารโครงการนี้โดยตรง
“เราคาดว่า โครงการนี้ จะได้รับความสนใจ เพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่ใจกลางเมือง ส่วนพื้นที่อื่นก็อยู่ที่รูปแบบการพัฒนาและราคา โดยราคาขายหรือเช่า ก็จะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ประชาชนรับได้”
ที่ผ่านมา นายฉัตรชัย ศิริไล รองกรรมการ ผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) กล่าวว่า เงื่อนไขของโครงการบ้านประชารัฐ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.คุณสมบัติประชาชนที่จะขอกู้ซื้อบ้านประชารัฐ จะต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 1.5-2 หมื่นบาทจะต้องไม่เคยเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์มาก่อน
2.ที่อยู่อาศัยที่จะเข้าร่วมโครงการ แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นบ้านที่มีอยู่แล้ว ส่วนที่ 2 เป็นบ้านสร้างใหม่ โดยใช้พื้นที่ของที่ราชพัสดุ ของกรมธนารักษ์จำนวน 6 แปลง และ 3.แพ็คเกจสินเชื่อ โดยในส่วนสินเชื่อที่จะปล่อยกู้ให้กับประชาชนนั้น เป็นดอกเบี้ย ผ่อนปรนกว่าปกติ
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ